HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 334 จุด มองบวกภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ดอกเบี้ย จับตา “ทรัมป์” เข้ารับตำแหน่ง 20 ม.ค. ด้าน “ราคาน่ำมันดิบ” ลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 17มกราคม 2568 ปิดที่ 43,487.83 จุด เพิ่มขึ้น 334.70 จุด หรือ +0.78% และปิดสัปดาห์ด้วยความแข็งแกร่งจากมุมมองในทางบวกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและเส้นทางอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายหลายอย่างภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะเข้ามารับตำแหน่ง
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,996.66 จุด เพิ่มขึ้น 59.32 จุด, +1.00%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,630.20 จุด เพิ่มขึ้น 291.91 จุด, +1.51%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 3.7% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.9% และเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดของทั้งสองดัชนีนับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน ส่วนดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 2.5% เป็นการปรับขึ้นรายสัปดาห์ดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม
หุ้นเทคโนโลยีใหญ่ปรับขึ้น โดยหุ้น Tesla บวก 3% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 3.1% และหุ้น Alphabet บวกกว่า 1%
หุ้น Intel เพิ่มขึ้น 9.25% จากการเก็งเกี่ยวกับการเทคโอเวอร์ หุ้น Qorvo ผู้ผลิตชิปพุ่งขึ้น 14.43% หลังจากที่ Starboard Valueซึ่งเป็น activist investor เข้าถือหุ้น 7.7% ใน Qorvo
การเพิ่มขึ้นของดัชนีหลักมีขึ้นหลังจากที่รายงานติดต่อกันซึ่งแสดงถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลงบ้าง ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเทียบเป็นรายปี และดัชนีราคาผู้ผลิตก็เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนธันวาคมเช่นกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อ่อนตัวลงเร็วมาที่ 4.623% จากความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้เพิ่มขึ้น
กระทรวงพาณิชย์รายงานเมื่อวันศุกร์ว่าการสร้างบ้านเดี่ยวในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน แม้ว่าความต้องการจะลดลงจากอัตราดอกเบี้ยจำนองที่เพิ่มขึ้นและอุปทานอสังหาริมทรัพย์ใหม่ล้นตลาด
รายงานอีกชุดหนึ่งแสดงให้เห็นว่าผลผลิตภาคการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว
นักลงทุนจับตาไปที่สัปดาห์หน้า เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สอง หุ้นปรับตัวขึ้นทันทีหลังจากทรัมป์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนมองว่าจะมีการยกเลิกกฎระเบียบและลดภาษี
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่ตลาดสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันหยุดวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลของของนโยบายบางอย่างของทรัมป์ เช่น การเก็บภาษีที่จะทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อสูงขึ้น และการชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่การเริ่มต้นฤดูกาลผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยผลการดำเนินงานของธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งก็ช่วยหนุนหุ้นในสัปดาห์นี้เช่นกัน ดัชนีกลุ่มธนาคาร ในS&P 500 เพิ่มขึ้น 7.41% ในสัปดาห์นี้
เบ็ธ แฮมแม็ก ประธานธนาคารกลาง(เฟด) สาขาคลีฟแลนด์กล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหา เนื่องจากข้อมูลล่าสุดชี้ว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการเฟด คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นและเร็วกว่าที่คาด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายต่อไป
จากข้อมูล LSEG ตลาดมองว่ามีโอกาสมากกว่า 50% ที่เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ภายในเดือนมิถุนายน ขณะที่มีการคาดการณ์กันในวงกว้างว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ในการประชุมปลายเดือนนี้
ตลาดยุโรปปิดบวก จากการปรับตัวขึ้นในวงกว้างซึ่งได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลงและข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากจีน
ดัชนี STOXX 600 เพิ่มขึ้นกว่า 2% ในสัปดาห์นี้ และปรับขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สี่ติดต่อกัน นานที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคมปีที่แล้ว
หุ้นส่วนใหญ่ปรับขึ้น กลุ่มที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น การก่อสร้างและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 1.6% และ 1.5% ตามลำดับ
การรายงานข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคในยูโรโซนในเดือนธันวาคมสอดคล้องกับการคาดการณ์
หนังสือพิมพ์ Het Financieele Dagblad ในเนเธอร์แลนด์รายงานว่า แฟรงค์ เอลเดอร์สัน จากธนาคารกลางยุโรป(ECB) กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่เสร็จสิ้น แต่เวลาและขนาดของการผ่อนคลายนโยบายในอนาคตยังไม่กำหนดชัดเจน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานยูโรโซนลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2024
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจของจีน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่จะเติบโต 5% ในปีก่อน และยังช่วยหนุนกลุ่มทรัพยากรขั้นพื้นฐานให้เพิ่มขึ้น 2%
ดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรปรับขึ้นมากกว่าคู่เทียบในภูมิภาค โดยเพิ่มขึ้น 1.3% ปิดที่ระดับ all-time high
ยอดค้าปลีกของอังกฤษลดลงฮวบฮาบในเดือนธันวาคม ส่งผลให้ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งอังกฤษในเดือนหน้า
กลุ่มเฮลธ์แคร์เป็นกลุ่มเดียวที่ปิดลบ โดยลดลง 0.8% หลัง Barclays กล่าวว่าบริษัทระมัดระวังเกี่ยวกับฮุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพของยุโรป โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีแรกจะมีความท้าทาย
ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจับตาการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ของโดนัลด์ ทรัมป์ และการประกาศนโยบายใหม่ รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้ภาษีการค้า ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อยุโรป
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 523.62 จุด เพิ่มขึ้น 3.57 จุด, +0.69%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,505.22 จุด เพิ่มขึ้น 113.32 จุด, +1.35%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,709.75 จุด เพิ่มขึ้น 75.01 จุด, +0.98%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 20,903.39 จุด เพิ่มขึ้น 248.00 จุด, +1.20%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 80 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 77.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 80.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล