สถาบัน-บลจ.เมินหุ้นไทย แนะหุ้นสหรัฐฯคาด EPS โต 2หลัก

HoonSmart.com>> 1 โบรกเกอร์ 3 บลจ. แนะครึ่งแรก ปี’68 เพิ่มการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เน้นไซส์ใหญ่ หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเติบโตสูง เปิด 4 กองทุนเหมาะเก็บเป็นคอร์พอร์ต พร้อมกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นโลก พันธบัตร 10 ปี ทองคำ ไพรเวท แอสเซ็ส

บล.บียอนด์ (BYD) จัดสัมมนาประจำปี หัวข้อ THE YEAR of SNAKE ให้กับกลุ่มนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายใหญ่ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ,นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์,CFA ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ. กรุงศรี หรือ KSAM ,นายบดินทร์ พุทธอินทร์ AISA,CFP ผู้อำนวยการ ส่วนกลยุทธ์การลงทุน,บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) และ นายกิตติวัจน์ อักรังษี CFA,FRM ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายผลิตภัณฑ์และการลงทุน บล.บียอนด์

ทั้ง 4 ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จาก 4 สถาบัน ล้วนให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เป็นหลัก แม้ว่าราคาหุ้นจะแพง แต่ Revise EPS เพิ่มขึ้น คาดรายได้บริษัทสูงขึ้นระดับ 2 หลัก ดันราคาหุ้นขึ้นไปได้อีก 7-8% จากนโยบายกีดกันการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำอุตสาหกรรมในประเทศเติบโต หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯไปต่อ ขึ้นเป็นผู้นำพาเศรษฐกิจโลกฟื้นอีกครั้ง

มุมมองการลงทุนปี’68

นายกิตติวัจน์ อักรังษี CFA,FRM ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายผลิตภัณฑ์และการลงทุน บล.บียอนด์ กล่าวว่า ประมาณการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวของตลาดหุ้นไทย จีน เวียดนาม สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 แต่ไม่เท่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

ปี 2568 นี้เราโฟกัสไปที่การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ซึ่งหุ้น 7 นางฟ้า ( Amazon, Apple, Google (Alphabet), Microsoft, Meta (Facebook), Tesla, และ Nvidia) ก็อยู่ในนี้มีมูลค่าตลาดสูงถึง 38.7% และเสริมด้วยหุ้นขนาดเล็กในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และ Private Assets หรือ สินทรัพย์นอกตลาด

ทั้งนี้ จะมีการลงทุนโดยอิงกระแส หรือ ตีมลงทุน 4 ตีมหลักๆ ได้แก่ 1. นโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ 2.กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ 3.สินทรัพย์ดิจิทัล และ

4.พลังงานสะอาด ที่จะเติบโตอย่างมากจากการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ที่ต้องการใช้ไฟจำนวนมหาศาล โดยสนใจลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 300 เมกะวัตต์ ที่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการหล่อเลี้ยงความเย็นในตัวเอง ทำให้ความเสี่ยงเรื่องการระเบิดลดลง โดยนิวเคลียร์ 1 ก้อนสามารถใช้ได้ถึง 15 ปี

สำหรับ กองทุนที่แนะนำ กองทุนรวมบียอนด์ เชค คีราโต หรือ Beyond Shakerato ลงทุนในหุ้น 0-100%

นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในครึ่งแรกของปี 2568 โฟกัสที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยมองว่ายังเป็นตลาดที่โตต่อเนื่องและยังให้ผลตอบแทนที่ดี จากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โตดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดยไตรมาส 1 ของปีนี้ ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนไตรมาส 2 จะรอดูผลกระทบจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ,นโยบาย บาซูก้า ที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ดูทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด อัตราเงินเฟ้อ และไตรมาส 3- 4 รอดูโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน

สำหรับ ตลาดหุ้นไทยและเอเชีย มองว่าในครึ่งแรกของปีนี้ยังไม่ดี จึงจะเริ่มมีการหันมาดูอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง

ส่วนกองทุนที่แนะนำ คือ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA)


นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์,CFA
ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ. กรุงศรี หรือ KSAM ให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน โดยมองว่าครึ่งแรกของปี 2568 หุ้นทุกกลุ่มจะยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ จากนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะดันราคาหุ้นในครึ่งแรกของปี หลังจากที่ตลาดรับรู้เต็มที่แล้ว จึงจะมีการมองหาการลงทุนในประเทศอื่นเพิ่มเติม

ข้อเสีย คือราคาหุ้นในตลาดสหรัฐฯแพง พีอีสูง และยังไม่เห็นว่าจะลดลงเร็วๆ นี้ แต่มูลค่าของกิจการยังไปได้ต่อ จากการที่เศรษฐกิจยังไปได้ดี ทำให้รายได้ยังเติบโต ทั้งหุ้นปันผล และหุ้นเทคโนโลยี โดยตลาดมีการคาดการณ์กันว่าดัชนีหุ้น S&P ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 13%

นอกจากนี้ ยังสนใจลงทุนในพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันผลตอบแทน(ยีลด์)อยู่ที่ 4.7% โดยจะมีการเข้าลงทุนเมื่อผลตอบแทนขึ้นไปแถว 5% ซึ่งเป็นระดับยีลด์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่รอซื้อ โดยมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะกลับขึ้นไปที่ 5% เพราะระดับเงินเฟ้อพื้นฐานเริ่มปรับตัวลดลง ขณะนี้สามารถลงทุนในพันธบัตร 3-5 ปีได้

กองทุนที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลพร็อพเพอร์ตี้ (KFGPROP) จากการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในแนวโน้มขาลง

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ AISA,CFP ผู้อำนวยการ ส่วนกลยุทธ์การลงทุน,บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในไตรมาส 1 ปี 2568 ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้เงินไหลกลับไปที่สหรัฐเมริกา และสหรัฐอเมริกาจะกลับมาเป็นผู้นำการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง

ส่วนเงินทุนจะไหลกลับเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับลักษณะการขึ้นภาษีนำเข้า ถ้าขึ้นภาษีพร้อมกันทุกประเภท ในทุกหมวดสินค้า เงินทุนจะไหลกลับเร็ว แต่ถ้าค่อยๆ ขึ้นในแต่ละหมวดสินค้า จะมีเงินไหลเข้าเอเชีย ทำให้หุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง คือ อัตราการเติบโตของรายได้ไตรมาส 1 และราคาหุ้นแพง พีอีสูง

อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอื่นๆ และเป็นตลาดที่สามารถทำนิวไฮได้ แม้ราคาหุ้นจะแพง แต่ประมาณการณ์ EPS ที่ออกมาในปีนี้โต 2 หลัก ทั้งกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ หุ้นเทคโนโลยี ไอที เอไอ โดยเน้นไปที่หุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง หรือ Growth Stock โดยหุ้นกลุ่มนี้มีการคาดกันว่ารายได้ปี 2568 จะโตราว 18% และ หุ้นเติบโตที่อยู่ในดัชนีแนสแด็กฯ จะโตราว 17% ส่วนหุ้นเติบโตในดัชนี S&P 500 จะมีอัพไซด์ 7%-8%

ถ้าติดดอยหุ้นสหรัฐฯ ในอดีตที่ไม่รวมช่วงวิกฤต จะใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1.5-2 ปี โดยจังหวะซื้อเมื่อหุ้นลงวางไว้ที่ระดับ 5% ให้เริ่มเก็บหุ้น ซึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2565 ช่วงนั้นเฟดขึ้นดอกเบี้ยทำให้หุ้นตก 5% แต่ปี 2568 ไม่มีความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย แม้จะไม่ลดดอกเบี้ยตามที่คาดไว้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐยังไปได้ดี จึงมองว่าไม่มีเหตุผลที่หุ้นจะตกแรง

ส่วนตลาดหุ้นไทย ต้องรอดูผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ประกาศออกมาในเดือนนี้ และผลการดำเนินงานของกลุ่มเทคโนโลยีที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์หน้า

สำหรับ กองทุนที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity