HoonSmart.com>>ศาลล้มละลายกลาง ยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการ”สินมั่นคงประกันภัย”(SMK) หลังเจ้าหนี้เกินครึ่งไม่ยอมรับแผน บริษัทขึ้นประกาศบนเว็บไซต์ หยุดรับประกันภัยทุกประเภททันที อ้างความจำเป็น โดยไม่รอคำสั่งคปภ. คนวงการประกันคาดบริษัทไม่ปล่อยให้ล้มละลาย ธุรกิจประกันประเภทอื่นยังไปได้สวยมีกำไร เจ็บเจียนตายรอบนี้เจอพิษโควิด ปัญหาต้องสะส่างตามขั้นตอน ให้ลูกค้าเรียกร้องค่าสินไหมใช้สิทธิตามกฎหมาย
ศาลล้มละลายกลาง ยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการบริษัทสินมั่นคงประกันภัย (SMK) หลังจากเจ้าหนี้มากกว่า 50% ไม่ยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการ
วันที่ 15 ธ.ค. 2566 ศาลกำหนดนัดฟังคำสั่งคำร้อง 3 ฉบับ ตามกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ประกอบด้วย 1.ผู้ทำแผนได้ยื่นคำร้องคัดค้านการนับคะแนนการลงมติของเจ้าหนี้ 2.เจ้าหนี้รายหนึ่งได้ยื่นคำร้องคัดค้านการลงมติล่วงหน้าทางอีเมล และ 3.ผู้ทำแผนและเจ้าหนี้อีกรายหนึ่งได้ยื่นคำร้องคัดค้านการประชุมเจ้าหนี้และการลงมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ทางอีเมลด้วย
ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน บริษัทสินมั่นคงประกันภัย ได้ประกาศบนเว็ปไซต์ว่า บริษัทฯมีความจำเป็นในการหยุดรับประกันวินาศภัยทุกประเภททันที
จากการสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อยู่ระหว่างการประชุมหารือ เพื่อเข้าไปควบคุมบริษัท แต่ยังไม่ได้มีคำสั่งตามมาตรา 52 ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ทางบริษัทสินมั่นคงประกันภัยได้ประกาศปิดธุรกิจตัวเองเรียบร้อย
สำหรับ ขั้นตอนต่อไปในกรณีที่แผนฟื้นฟูไม่ผ่านการพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง คดีจะถูกส่งมอบกลับมาที่สำนักงานคปภ. และทาง คปภ.จะประกาศแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมบัญชีของบริษัท โดยจะประกาศให้เจ้าหนี้มายื่นรับชำระหนี้ที่กองทุนประกันวินาศภัย เป็นเวลา 60 วันนับจากที่คปภ.มีการประกาศ
ระหว่างนี้ บริษัทฯยังต้องเปิดรับเคลม และรับเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จ่ายค่าสินไหมทดแทน ตามปกติ เพียงแต่ไม่สามารถขายกรมธรรม์ใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม คนในวงการประกันคาดว่า บริษัทสินมั่นคงประกันภัยคงไม่ปล่อยให้กิจการล้มละลาย หลังฟื้นฟูไม่ได้ แม้มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ตาม เนื่องจากบริษัทเจอวิกฤตการณ์รอบนี้มาจากความผิดพลาดในการรับประกันโควิด เจอลูกค้านับแสนราย เคลมโควิด เจอ จ่าย จบ ขณะที่บริษัทยังมีธุรกิจประกันประเภทอื่นที่ยังไปได้อยู่ การแก้ปัญหาตามขั้นตอนคงปล่อยให้ลูกค้าเรียกร้องค่าสินไหมใช้สิทธิตามกฎหมาย
ด้านฐานะการเงินของ SMK งวด 9 เดือน ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566 มีส่วนของผู้ถือหุ้น -29,931.68 ล้านบาท หนี้สินรวม 36,663.10 ล้านบาท มากกว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่จำนวน 6,731.42 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 555.88 ล้านบาท มาจากรายได้รวม 4,398.81 ล้านบาท มีมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระ 200 ล้านบาท