ดีลอยท์ ไทย เปิด 3 ความท้าทายปี’68 แนะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน

HoonSmart.com>>ดีลอยท์ ไทยเปิด 3 ความท้าทายเศรษฐกิจไทยปี 2568 แนะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ เน้นความยั่งยืน ลดความสูญเสียรายได้

ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ | ผู้อำนวยการบริหาร – Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การบริโภคจากภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับการเติบโตของ GDP ในปี 2568 ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยควรพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น โดยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้มากกว่า 60,000 ล้านบาทต่อปี จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายนี้ การส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เช่น การพัฒนามหรสพ พิพิธภัณฑ์ และดนตรีในร่ม เป็นแนวทางที่สำคัญ

นอกจากนี้ สถานที่กลางแจ้งควรมีการจัดเตรียมด้านแสงสว่างและการคมนาคมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปรับเวลาการท่องเที่ยวให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากมุมมองด้านเศรษฐกิจแล้ว ในส่วนของด้านธุรกิจต่างๆ ดีลอยท์สรุปความท้าทายสำคัญในปี 2568 ดังนี้

1. ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ และการขาดแคลนทรัพยากรมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวปฏิบัติที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ รวมถึงการนำเทคโนโลยีการคาดการณ์มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

2. แรงกดดันด้านความยั่งยืน บริษัทต่างๆ ต้องสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและข้อบังคับทางกฎหมาย ภายใต้การตรวจสอบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เพิ่มขึ้น

3. การผสานรวม AI และการพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน การนำระบบ AI ขั้นสูงมาใช้ ควบคู่กับการจัดการปัญหาด้านอคติ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และการอัตโนมัติ จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลของมนุษย์กับนวัตกรรม การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วจำเป็นต้องมีการยกระดับทักษะแรงงานอย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดช่องว่างด้านความสามารถและความท้าทายในการรักษาบุคลากรในองค์กร

“การเติบโตของ AI แบบ Agentic ถือเป็นแนวโน้มสำคัญในวงการ AI ที่ช่วยช่วยส่งเสริมการตัดสินใจแบบอัตโนมัติและมีเป้าหมายที่ชัดเจน นอกเหนือจากการสร้างเนื้อหา ระบบเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งเสริมนวัตกรรม และยกระดับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดย AI แบบ Agentic แตกต่างจาก Generative AI ที่มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมที่ซับซ้อนเพื่อบรรลุเป้าหมายเฉพาะ โดยอาศัยการเรียนรู้ของเครื่องและระบบอัตโนมัติ” ดร. นเรนทร์ กล่าว

ดร.นเรนทร์ กล่าวว่า การประยุกต์ใช้ AI แบบ Agentic ครอบคลุมถึงการบริการลูกค้า การผลิต การขาย และการดูแลสุขภาพ ซึ่งนำเสนอความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแรงงาน นวัตกรรม และความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในด้านการประสานงานของทีมงาน การปรับระดับความไว้วางใจ และการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จ ซึ่งต้องอาศัยเป้าหมายที่ชัดเจน บทบาทของทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลที่สมดุล เพื่อปลดล็อกศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของ AI แบบ Agentic และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในขณะเดียวกัน

หากย้อนกลับไปในปี 2533 ประเทศไทยเคยมีอัตราการเติบโตของ GDP สูงสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ 11% โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2533 ถึง 2538 อยู่ที่ 8.7% ขณะที่อาเซียนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 5.6% อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเริ่มลดลงและต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2557 ถึง 2566) GDP ของไทยเติบโตเพียง 1.8% ขณะที่อาเซียนมีการเติบโตมากกว่า 3.7%

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อรายเดือน ประเทศไทยยังคงสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เคยมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 11% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามเคยเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงกว่า 80% ในปี 2541 และกว่า 28% ในปี 2553 ตามลำดับ ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 อาจเติบโตเพียง 0.4% แต่จะเริ่มเข้ากรอบเป้าหมายที่ 1.1% ในปี 2568

อัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำดังกล่าว บวกกับการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2567 ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต แม้จะมีการปรับลดไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2567

ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนไทยปรับฤดูกาล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 ยังสูงถึง 89.8% ต่อ GDP โดยกว่า 28% เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ข้อมูลจากเครดิตบูโรยังระบุว่ายอดหนี้เสีย ณ เดือนกันยายน 2567 สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การปรับอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อทิศทางของค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกจะได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าในตลาดต่างประเทศ

พร้อมกับให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกของไทย โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ประเทศไทยได้ส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์มูลค่ากว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ สวิตเซอร์แลนด์มีแนวโน้มที่จะเป็นคู่ค้าลำดับที่สองของไทยในยุโรป ขณะเดียวกันยังมีการเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ ในกรอบการเจรจา Free Trade Agreement ระหว่างไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ซึ่งรวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย

น.ส.ทัศดา แสงมานะเจริญ เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาอาวุโส Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่เพิ่มความเสี่ยงทางการค้าโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยและผู้ส่งออกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกว่า 18% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ดังนั้น การเพิ่มภาษีดังกล่าวจึงอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจของไทยอย่างมีนัยสำคัญ