HoonSmart.com>>บลจ.เอ็มเอฟซี ประเมินทิศทางลงทุนเดือนธ.ค. “หุ้นสหรัฐฯ” เริ่มตึงตัว ระยะสั้นแนะนำ Neutral ยังมองบวกระยะยาว คาดปี 68 ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ต่อ เศรษฐกิจขยายตัว กำไรบจ.แกร่ง คาดหุ้นขนาดกลาง-เล็กโอกาสให้ผลตอบแทนเหนือหุ้นใหญ่ ส่วน “หุ้นไทย” คาดดัชนีเคลื่อนไหว Sideways หวังเม็ดเงินซื้อหุ้นจากกองทุนลดภาษีหนุน พร้อมแนะนำกองทุนเด่นจัดพอร์ตลงทุนส่งท้ายปี
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เผยกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนธ.ค.2567 มองตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นต่อในปี 2568 จากนโยบายขาดดุลการคลังของรัฐบาล Bloomberg Consensus คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ (GDP) จะขยายตัว 2.7%YoY ในปี 2024 และ 2.1%YoY ในปี 2568 ซึ่งดีกว่าประเทศอื่นๆ ในตลาดพัฒนาแล้ว การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะกระจายไปกลุ่มอื่นมากขึ้น เช่น Financials, Consumer Discretionary และ Industrials รวมถึงหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเหนือหุ้นขนาดใหญ่ ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ยังมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวอยู่
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจทําให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทัวโลก และทําให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ น้อยลงเมือเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีS&P 500 มีValuation ที่ค่อนข้างตึงตัว โดยมีค่า Forward P/E Ratio อยู่ที่ 22.5 เท่า มากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังระยะยาว 10 ปี ที่บริเวณ +2SD
ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าปี 2561-2562 ชวงที่เกิดสงครามการค้าครั้งแรก (Trade War) ทําให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความอ่อนไหวสูง ที่จะปรับฐานลงราว 5-10% หากเกิดการขึ้นภาษีตอบโต้กัน ระหว่างสหรัฐฯ และคู่กรณี เช่น ประเทศจีน กับ สหภาพยุโรป
ด้านกําไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 รายงานออกมาแล้ว 485 บริษัท จากทังหมด 500 บริษัท พบว่า 75% ของบริษัทที่รายงานออกมา มีผลประกอบการสูงกว่าทีนักวิเคราะห์คาดไว้ โดยในปี 2568 การเติบโตของกําไร (Earnings Growth) ของหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ที่เป็นตัวแทนหุ้นขนาดใหญ่ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงหลังจากทีกําไรของดัชนีS&P 500 ถูกผลักดันด้วยหุ้นกลุ่มนี้มาตลอด ทําให้ตลาดมองกําไรบริษัทจดทะเบียนของดัชนี S&P 500 จะมีการกระจายตัวมากขึ้น และไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่ม Magnificent Seven ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่
“แนะนําทยอยลงทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยให้นําหนักการลงทุนระยะสั้น 0-3 เดือน เป็น Neutral และให้น้ำหนัก 6-12 เดือน เป็น Overweight กองทุนแนะนํา ได้แก่ M-USEQH, M-USEQUH และ MGF”
ส่วนตลาดหุ้นยุโรป คาดว่าน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในทุกภาคส่วนปรับตัวลดลงในเดือน พ.ย. สะท้อนการหดตัวทางเศรษฐกิจ และแผนการเก็บภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ ซึ่งอาจทำให้การส่งออกชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการอ่อนค่าของเงินยูโร
“แผนจะเรียกเก็บภาษีนําเข้า 10% สําหรับสินค้านําเข้าจากทุกประเทศของทรัมป์ อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ธนาคารกลางยุโรปต้องปรับลดอัตราดอกเบียเร็วขึน และอาจส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่า คาดว่าในเดือนธ.ค. ตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและเทศกาลวันหยุดยาวในช่วงปลายปี เราคงนําหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปที่ Neutral จากความเสียงเรืองความผันผวนในระยะสั้นจากความกังวลการเก็บภาษีศุลกากรของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมปที่อาจกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจ กองทุนแนะนํา ได้แก่ MEURO”
ตลาดหุ้นจีน ในช่วงเดือน ธ.ค. คาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ เพื่อรอปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจและการประชุมคณะทำงานว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ ที่จะจัดขึ้นในเดือน ธ.ค. แนะนำให้รอดูสถานการณ์ต่อไป ภาพรวมเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันยังคงมีความไม่แน่นอนสูง แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวในบางภาคส่วน
“เราคงมุมมอง Neutral ต่อหุ้นจีน แนะนํากองทุน MCHEVO, MCHINA”
ตลาดหุ้นอินเดีย ช่วงเดือน ธ.ค. ดัชนี Nifty 50 คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบหลังปรับฐานในเดือน พ.ย. จากความกังวลต่อนโยบายกีดกันสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ โดยการจัดเก็บภาษีในอัตรา 10% โดยเฉพาะกับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สำหรับปัจจัยด้านเทคนิคพบว่าดัชนี Nifty 50 ปรับตัวลดลงมา แต่ยังสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้
“เรามีมุมมองการลงทุนระยะสันและยาวเป็น Neutral จากระดับ Valuation ตึงตัวโดย Forward P/E ของดัชนี Nifty 50 อยู่ทีระดับ 20.01 เท่า (+1 SD) ซึงสูงกว่าค่าเฉลียย้อน
หลัง 10 ปและคอยติดตามนโยบายกีดกันทางค้าของสหรัฐฯ กองทุนแนะนํา ได้แก่ MINDIA”
ตลาดหุ้นไทย ภาพรวมระยะสั้นคาดว่านักลงทุนจะรอดูรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ความคืบหน้าของโครงการ Digital Wallet เฟส 2 รวมถึงความคาดหวังเม็ดเงินใหม่จากกองทุนลดหย่อนภาษี ด้านการท่องเที่ยวไทยยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ต.ค. ล่าสุดการส่งออกขยายตัว 14.6% (YoY) แต่ถ้าดูดุลการค้าในเดือนต.ค. ไทยขาดดุลการค้า 794.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“ทิศทางตลาดหุ้นไทยในเดือนธ.ค.นี้ มีมุมมองว่าจะเคลื่อนไหว Sideways ภาพรวมระยะสั้นคาดว่านักลงทุนจะรอดูรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ความคืบหน้าของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 สําหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และคาดหวังว่าเม็ดเงินใหม่จากกลุ่มกองทุนลดหย่อนภาษี(RMF SSF และ ThaiESG) จะสามารถเข้ามาชวยพยุงตลาดหุ้นไทยได้ อีกทั้งติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 17-18 ธ.ค.67 เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย “
ด้านปัจจัยราคาของดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET Index อยู่ที 14.62 เท่า ดังนั้นเรามีมุมมองเชิงบวกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้น้ำหนักเป็น Overweight กองทุนแนะนํา M-FOCUS, M-S50, HIDIV-D และ M-MIDSMALL
ส่วนกองทุนภาษี ทุก 50,000 บาท ซื้อกองทุนภาษีทุก 50,000 บาท รับเลยกองทุนพันธบัตรรัฐบาล MMGOVMF 100 บาท ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/mfcfunds/posts/pfbid0dwjkStA8S7vgfdv6cMiCguBod3Yipz5WgUhgHTcKrxgSKPaRgerRXoDBoFT86bVNl