3 องค์กรชี้สัญญาณเศรษฐกิจฟื้นชัด คาดเงินไหลเข้าปี’67 ดันหุ้นแตะ 1700  

HoonSmart.com>>FETCO ตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมนักวิเคราะห์ ฟันธงสัญญาณจุดกลับตัวทางเศรษฐกิจชัด เฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ย น้ำมันยืนแถว 71 เหรียญ กำไรบจ.โลกไตรมาส 3 เริ่มดีขึ้นในรอบ 3 ไตรมาส เงินเริ่มไหลเข้าตลาดเงินในตลาดเกิดใหม่ หุ้นไทยปีหน้าดีกว่าเพื่อนบ้าน เหตุพื้นฐานเศรษฐกิจแกร่ง  นักลงทุนรอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและงบลงทุน เสริมความมั่นใจ คาด SET ปี ’67 ดีดกลับไป 1,700 จุด แนะลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์ ท่องเที่ยว พลังงาน เฮลท์แคร์ ซอฟท์พาวเวอร์ เตรียมเข้าพบนายกฯขอตั้งกองทุนคล้าย LTF ที่ยกเลิกไป เพื่อดึงเงินลงทุนระยะยาวเข้าตลาด

วันนี้(8 พ.ย.2566) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน(IAA)ได้จัดงานเสวนา “โอกาสหุ้นไทย ภายใต้เศรษฐกิจโลกผันผวน”

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มพบสัญญาณการกลับตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยจะเห็นว่าสงครามฮามาสและอิสราเอลยังคงดำเนินอยู่และมีหลายประเทศเข้ามาร่วมด้วย แต่ราคาน้ำมันดิบเริ่มทรงตัวอยู่บริเวณ 71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลไม่ได้ขึ้นและผันผวนเช่น 2 เดือนที่ผ่านมาขึ้นไปอยู่ 95 เหรียญต่อสหรัฐ แต่ยังต้องระมัดระวัง เพราะไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าสงครามจะเป็นอย่างไร

ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดคิดว่าจะไม่ปรับขึ้นอีก และปีหน้าธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย  หลังจากนั้นเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนกลับมา

ด้านเศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่จุดที่เหมาะสมดีขึ้น เห็นได้จากภาคส่งออกเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าไทยเริ่มรับได้ ภาคการผลิตเริ่มนิ่งไม่ได้ตกต่ำลง ภาคการท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นฟื้นตัวตามนัด เพียงรอมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ

ขณะที่จุดแข็งของไทยคือ ภาคธนาคารเข้มแข็ง มีกำไรเป็นแสนๆ ล้านบาท ทำให้ทุนเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าธนาคารมีความสามารถในการที่จะดูแลเศรษฐกิจไทยในช่วงข้ามผ่าน อัตราเงินเฟ้อไม่มีปัญหา บริษัทจดทะเบียนมีกำไรมาอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมีฐานะที่พอกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยรวมเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งสามารถรับคลื่นลมได้

“เวลาเกิดสงคราม นักลงทุนจะมองหาประเทศที่สงบ ประเทศที่มีอาหาร มีความเป็นกลาง ท่ามกลางความขัดแย้งมีความผันผวนบ้าง แต่ในระยะยาวจะกลับคืนมาได้ โดยถ้าเงินลงทุนโดยตรงที่เป็นธุรกิจคลื่อนลูกใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่ถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของโลก และอาเซียนกำลังจะมา คาดว่าจะคึกคักมากในช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ จะส่งผลดีต่อไทยที่เป็นซัพพลายเชนทั้งหมด ทำให้ดีมานด์ที่มาจากความสามารถในการสร้างรายได้จะมีมากขึ้น ฉะนั้นจึงไม่กังวลเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย เพียงแต่บริษัทต่างๆ ต้องประคองตัวให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ เพื่อรอเก็บเกี่ยวโอกาสในปีหน้า”นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงกลางเดือน พ.ย.นี้จะเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เพื่อขอต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่จะหมดอายุในปี 2567 และจะขอปรับระยะเวลาลงทุนเหลือ 5 ปีปฏิทันเท่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)รวมทั้งจะเสนอตั้งกองทุนหุ้นยั่งยืน(Sustainability Fund) เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก ประชาชน และสังคม หาช่องทางที่จะให้เด็ก เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น หรือลงทุนเพื่อการศึกษา และช่องทางที่จะดึงผู้สูงวัยเข้ามาลงลงทุนในตลาดหุ้นด้วย เพื่อเพิ่มเงินลงทุนในระยะยาวเข้าสู่ตลาดทุนไทย จะได้ช่วยพยุงตลาดในช่วงที่เงินระยะสั้นไหลออก ซึ่งที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดประเทศอื่นเพราะเงินลงทุนระยะยาวหายไป

นอกจากนี้ จะมีการหารือกรณี หุ้นบมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) และหุ้นบมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE) ว่าจะขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) กล่าวว่า ตลาดทุนไทยมีด้านที่เป็นบวกท่ามกลางคลื่นลมรุนแรงพายุมากมาย  ปีที่แล้วเป็นตลาดที่มีผลงานที่ดีที่สุดในเอเชีย  ลงน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นที่ลงแรง แต่ปี 2566 ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างแรง โดยในช่วงก.พ.-มี.ค. ลงมากสุดในอาเซียน แต่ในปี 2566 ไม่ได้ลงทั้งตลาด เมื่อเทียบกับในอดีต  ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีหุ้นจะลงทุกกลุ่ม  แต่ปีนี้ยังมีอุตสาหกรรมที่มีผลการดำเนินงานเหนือกว่าตลาด เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธนาคาร หุ้นที่ปันผลสูง และหุ้นกลุ่มที่ทำธุรกิจยั่งยืน มีการฟื้นตัวค่อนข้างดี และมีผลการดำเนินงานชนะตลาด แต่ยังมีบางอุตสาหกรรมไม่ฟื้นตัว เช่น แมนูแฟคตอริ่ง กลุ่มการเกษตรอาหาร การบริโภคในประเทศ

 

สำหรับ อุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของประเทศที่มีโอกาสฟื้นตัวในระยะใกล้นี้ คือ

กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มีกลุ่มบริษัทไทยที่ทำ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ แพลนต์ เบส ฟู้ด ที่นำพืชผักมาทำเนื้อ เป็นมูลค่าเพิ่มใหม่ อาหารที่มาช่วยรักษาโรค ที่ทำได้ดีมาก และ อาหารชีวภาพ เป็นธุรกิจที่จะได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสูง

กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ การท่องเที่ยวของไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปมากหลังโควิด สิ่งแรก มีนักท่องเที่ยวที่ทำงานเกี่ยวกับดิจิทัลมาอยู่ในไทยเพิ่มมากขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เกาะภูเก็ต เกาสมุย อยู่กันเป็นสังคมที่ทำงานร่วมกัน ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวค่อนข้างสูงจากคนกลุ่มนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามารักษาพยาบาล มีมากขึ้น และโรงพยาบาลหลายแห่งปรับตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากขึ้น การพำนักระยะยาวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่อยู่กันเป็นหมู่บ้าน ซอฟพาวเวอร์อินดัสตรี่ ก็ชัดมีคนเข้ามาดูมวยไทย เข้ามาดูจังหวัดที่อยู่ในภาพยนต์เพิ่มขึ้น

กลุ่มที่ทำธุรกิจแบบยั่งยืน จะเห็นว่าหลายบริษัททำพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน การทำให้ธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรื่องไบโอโพรดักส์ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไทยมีจุดแข็งคือการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ปัจจุบันมีการเสริมเรื่องการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยใช้ซัพพลายเชนของเครื่องยนต์ที่สันดาษภายในมากขึ้นเรื่อยๆ

“กลุ่มที่เป็นเศรษฐกิจในอนาคต ที่จะมาใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐได้ลงทุนไปในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา คือ เศรษฐกิจดิจิทัล เอสเอ็มอีสตาร์ทอัพ นิวเอสเคิพ อุตสาหกรรม ปัจจุบันอาจจะไม่เห็นผลจากตรงนี้มากนัก แต่จะเป็นจุดที่ใน 5-10 ปี จะได้ประโยชน์มาก”นายภากร กล่าว

นายภากร กล่าวว่า ด้านภาวะเศรษฐกิจปี 2567 ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีการถูกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโตขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจโลกถูกมองว่าจะโตน้อยลง เศรษฐกิจสหรัฐโตน้อยลง ยุโรปโตมากขึ้น จีนโตน้อยลง แต่ไทยถูกมองว่าเศรษฐกิจจะโตมากขึ้น 3% ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มองไปที่ 4.4% จะทำให้หลายอุตสาหกรรมได้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักท่องเที่ยว การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งการส่งออกดีขึ้นแล้ว

จุดน่าสนใจของประเทศไทย คือ ภาคธนาคารเข้มแข็งมาก เพราะมีเงินทุนสำหรับการทำธุรกิจสูงมาก หรือ เงินทุนสำหรับการทำธุรกิจ เกือบจะสูงที่สุดในโลก ประมาณ 19% ของสินทรัพย์ แสดงให้เห็นว่าถ้าเศรษฐกิจกลับมาเติบโตจะสามารถปล่อยกู้ได้จำนวนมาก หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ในระดับไม่มากนักที่ 62% จากเพดานสูงสุด 70% ถ้าไปดูประเทศทั่วโลกที่ผ่านช่วงโควิดมาเกิน 100% แต่ประเทศไทยควบคุมได้ดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นหนี้ต่างประเทศเมื่อเทียบกับจีดีพี ไทยก็ต่ำมาก มีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อมาโคเวอร์กับหนี้ต่างประเทศเหลือเฟือมาก เงินเฟ้อก็ต่ำ และไทยมีเครดิตเรทติ้งดีมาก ทั้งภาครัฐ และภาคธนาคารพาณิชย์ การที่จะโตต่อไปได้มีโอกาสมาก เมื่อมีการ turning point จะทำให้การฟื้นตัวเร็วขึ้น

อีกหนึ่งจุดแข็ง คือ บริษัทในประเทศไทยมีการเข้ามาระดมทุนในตลาด 10-20 ปี สูงมาก ทั้งๆ ที่จีดีพีไทยโตปีละประมาณ 2-3% เท่านั้น คำตอบคือ บริษัทจดทะเบียนไทยมีรายได้จากต่างประเทศจำนวนมาก คิดเป็นประมาณ 30-40% โดยเฉพาะบริษัทที่ทำธุรกิจในต่างประเทศ มีรายได้จากต่างประเทศ 40% โดยประมาณ ส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่มาจากเอเชีย รองลงมาคือจากยุโรป และสหรัฐอเมริกา จะเห็นว่า บริษัทไทยออกไปเติบโตต่างประเทศมาก ไมเนอร์กรุ๊ป เซ็นทรัลกรุ๊ป เจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ป

สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคอุตสาหรรมการเกษตร อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค มีเพียงกลุ่มเทคโนโลยีและบริการที่สัดส่วนรายได้ต่างประเทศลดลง เพราะส่วนใหญ่เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ในไทย ถ้าเป็นสินค้าส่งออกได้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเติบโต

ตลาดหุ้นไทยที่มีปัญหาปีนี้ เพราะหนึ่งมาจากฐานที่สูง โดยปี 2565 เติบโตดีมาก สอง มี 2 เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความสั่นคลอนเรื่องความมั่นใจในตลาดทุน คือ กรณีหุ้นหุ้นบริษัทมอร์ รีเทิร์น (MORE) และบริษัทสตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK)  ยอมรับเลย สิ่งที่เป็นข้อดีคือ  ได้มีการแก้ไข ปรับปรุง วิธีการทำงาน กฎเกณฑ์ ระหว่างหน่วยงานกำกับ เชื่อว่าในอนาคตตลาดทุนไทยจะแข็งแรงขึ้น และสามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้เร็วขึ้น
สาม เงินลงทุนระยะสั้นของนักลงทุนต่างประเทศไหลออกไป แต่กลุ่มที่ลงทุนระยะยาวสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และตลาดหุ้นไทยก็ยังอยู่ในสัดส่วนที่คงที่ในดัชนี MSCI โดนนักลงทุนต่างชาติ จะมีการถือหุ้นเทคโนโลยี และบริการ กลุ่มการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เอ็มเอไอ มากขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่ถือลดลงคือ พลังงาน อุตสาหกรรมหนัก และกลุ่มเกษตรและอาหาร

“ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2566 คือปีนี้ จนถึงวันนี้เงินไหลออก 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมา เงินเข้ากับเงินออกเกือบเท่ากันแล้ว”นายภากร กล่าว

นายภากร กล่าวว่า การดูแลตลาดทุนในช่วงนี้นั้นมีการศึกษาข้อมูลทุกด้าน เพื่อที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพ แต่ยังไม่มีความจำเป็นที่จะใช้มาตรการห้ามทำ Short Sell เหมือนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ รวมทั้งยังร่วมมือกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในการจับตาดูข้อมูลการเทรดต่างๆ อย่างใกล้ชิด เช่น Short Sell โปรแกรมเทรดดิ้ง ก็ติดตามดูข้อมูลว่าทำให้ตลาดบิดเบือนไปจากความเป็นจริงหรือไม่ และนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน

ในกรณีที่มีการพูดถึง Naked Short Sell จากต่างประเทศนั้นในปีนี้ไม่มี มีเมื่อ 2 ก่อนมี 2 เคส และ1 ปีที่แล้วมี 1 เคส ซึ่งดูทุกทรานแซ็คชั่น เพราะจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น โดยโปรแกรมเทรดดิ้งปัจจุบันมีประมาณ 30% ของวอลุ่มเทรด แต่ High-Frequency Trading (HFT) มีประมาณ 10% ในอนาคตเราจะใช้ AI จับความเคลื่อนไหว เช่นหุ้นที่มีการ Short มากสุด คือ หุ้นอะไร จะไม่ตัดสินว่าผิด แต่จะให้ข้อมูลเพื่อให้เกิดความระมัดระวัง และนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อใช้ในการตัดสินใจ

“กรณีหุ้น IPO ปรับตัวลงมากนั้นเกิดจาก เงินระยะยาวจากต่างประเทศไม่มี และมีกรณีหุ้นSTARK และ MORE ตลาดจึงมี demand bad sentiment ทำให้ราคาหุ้นผันผวน ส่วนการขยายเวลาเทรดให้ยาวขึ้นนั้นอยู่ระหว่างการศึกษา และในเรื่องหุ้นกู้ในภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงนั้น ได้ร่วมมือกับทางก.ล.ต.และตลาดตราสารหนี้ไทย ในการดูความสามารถในการชำระหนี้ และจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันกับทั้ง 2 หน่วยงาน”นายภากร กล่าว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA)และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้เปิดเผยว่า เห็นสัญญาณตลาดทุนโลกกำลังปรับตัวเข้าสู่จุดพลิกกลับ (Turning Point)คือ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED)ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและจะยังเป็นเช่นนี้อีกระยะหนึ่ง บริษัทจดทะเบียนโลกไตรมาส 3 ดีขึ้น โดยในตลาดสหรัฐฯกำไรเกือบ 4% เป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือน โดยการมีกำไรจะนำไปสู่ราคาหุ้นที่สูงขึ้น รวมถึงเงินลงทุนเริ่มไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่

ทั้งนี้ ภาพรวมของนักวิเคราะห์ทั่วโลกมองว่า ปี 2567 ตลาดหุ้นจะดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่จะโตเร็วสุดเพราะมีการตกลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันเห็นเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาอยู่ในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำในตลาดเงิน ซึ่งหลังจากที่มีอัตราดอกเบี้ยโลกเริ่มคงที่เงินเหล่านี้จะเข้าสู่ตลาดทุน ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์

“สมาคมฯ ทำการประเมินว่า ปีหน้า ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 1,700 จุด แต่ของทิสโก้ มองว่าจะไปถึง 1,623 จุด และ SET50 จะแตะ 1,005 จุด และ EPS น่าจะบวก 10% เพราะพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไทยแข็งแกร่ง ที่ผ่านมากำไรไม่โตไม่ได้เกิดจากการขาดทุน แต่เกิดจากการหดตัวของกำไร”นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดอื่นๆ ในเอเชียและอาเซียน เพราะเงินลงทุนระยะยาวหายไปจากตลาด และนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นจากกรณีของหุ้น MORE และ STARK รวมถึงในช่วงครึ่งปีแรกการเมืองยังอยู่ระหว่างการเลือกตั้ง และเมื่อได้รัฐบาลใหม่มาความเชื่อมั่นก็ยังไม่ได้ดีขึ้นมาก แต่หลังจากที่เห็นรัฐบาลเริ่มฟังคำแนะนำ มีความยืดหยุ่นในที่จะปรับนโยบายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากขึ้น เชื่อว่าความเชื่อมั่นจะดีขึ้นเรื่อยๆ และถ้าได้เห็นงบประมาณการลงทุนในปีหน้าออกมา จะยิ่งเสริมความมั่นใจดีขึ้น

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา,CFA อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กรรมการและผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.จีซีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าจะอยู่ที่ 13% ที่ผ่านมาแม้ต่างชาติจะมีการขายสุทธิออกไปสูง แต่มีการซื้อสุทธิในกลุ่มเฮลท์แคร์ เงินที่อยู่ในประเทศจะมีการย้ายไปสู่กลุ่มอื่นๆ โดย 5 กลุ่มแรกที่จะมีการเข้าลงทุน คือ กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มเฮลท์แคร์ กลุ่มโรงแรม และกลุ่มน้ำมัน

นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยตีมใหญ่ๆ คือ การยกระดับศักยภาพโครงสร้างพื้นฐาน และรัฐบาลเริ่มพูดถึงการลงทุนเพิ่มเติมมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาทเพื่ออนุมัติงบให้กับโครงการที่ค้างท่ออยู่ซึ่งถือว่าใหญ่อยู่เหมือนกัน

สำหรับ การลงทุนของรัฐบาลกับเอกชน ในโครงการแลนด์บริด จะทำให้ศักยภาพการผลิตและการขนส่งปี 2567 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การขนส่งข้ามทางแลนด์บริด ย่นระยะเวลาได้ประมาณ 2 วันผลบวกด้านการค้าจะสูงมาก โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ประกอบด้วย WICE ,LEO,SJWD,WHA,AMATA,STEC,CK