BCP โชว์กำไร Q3/66 ที่ 1.1 หมื่นลบ. สูงสุดเป็นประวัติการณ์

HoonSmart.com>>”บางจาก คอร์ปอเรชั่น”(BCP) โชว์กำไรไตรมาส 3/66 ที่ 11,011 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้ 94,528 ล้านบาท มี EBITDA 13,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 9 เดือนปี 66 กลุ่ม”บางจาก” มีรายได้รวม 242,931 ล้านบาท มี EBITDA 31,433 ล้านบาท ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันได้รับปัจจัยหนุนจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น ปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีการรับรู้การผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมถึงรับรู้ ESSO

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 66 มีรายได้รวม 242,931 ล้านบาท มี EBITDA 31,433 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าธุรกิจโรงกลั่น และการค้าน้ำมันจะได้รับปัจจัยกดดันจาก Operating GRM ที่ลดลงในครึ่งแรกของปีจากราคาน้ำมันที่ลดลง แต่การที่มีการลงทุนและขยายธุรกิจส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพ ทั้งธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และการที่บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO เข้ามาเป็นบริษัทย่อยของบริษัท และเริ่มมีการรับรู้ผลการดำเนินงาน ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 14,210 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 10.09 บาท

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 39 ปี อยู่ที่ 11,011 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 7.91 บาท โดยมีรายได้ 94,528 ล้านบาท มี EBITDA 13,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 1) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันที่ราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มี Inventory Gain 3,598 ล้านบาท 2) ปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น 3) ธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีการรับรู้การผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว เต็มไตรมาสและรับรู้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 โครงการ และ 4) รับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในสัดส่วนร้อยละ 76.34 ในงบการเงินรวม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นมา รวมถึงมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อที่เกิดจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สิน (PPA) จำนวน 7,389 ล้านบาท

แต่ละกลุ่มธุรกิจในไตรมาส 3/66 มีดังนี้ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA 6,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยค่าการกลั่นพื้นฐานในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ที่ 14.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นระดับที่สูงกว่าค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ที่อยู่ที่ 9.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นฯ มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่ 116.4 พันบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 97% ของกำลังการผลิต

กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 1,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร 100% จากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ 1,571 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นทั้งตลาดค้าปลีกและตลาดอุตสาหกรรม เป็นผลจากการผลักดันการจำหน่าย การขยายสถานีบริการ และการส่งเสริมการตลาด ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดน้ำมันอากาศยาน ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

กลุ่มธุรกิจเอสโซ่ (ประเทศไทย) มี EBITDA 1,281 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ได้เริ่มมีการรับรู้ผลการดำเนินงานของ ESSO ในงบการเงินรวมของบางจากฯ ตั้งแต่ 1 ก.ย. 66 ทั้งนี้ ในเดือนก.ย. 66 โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชามีการหยุดดำเนินการผลิตเพื่อการซ่อมบำรุงตามแผนและเพื่อดำเนินการติดตั้งและเชื่อมต่ออุปกรณ์สำหรับโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 เป็นเวลา 25 วัน

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า มี EBITDA 1,330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็น EBITDA สูงที่สุดใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป. ลาว กลับมาผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเต็มไตรมาส และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 โครงการ) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทยมีปริมาณการจำหน่ายไฟเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มี EBITDA 169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อนหน้า และมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นตามแผนบริหารการขายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของบริษัท

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ มี EBITDA 4,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณจำหน่ายของ OKEA เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของแหล่งผลิต Brage และ Nova (ในไตรมาส 2/66 ไม่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จาก 2 แหล่งนี้) นอกจากนี้ ราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก ทั้งนี้ OKEA ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐของนอร์เวย์ในการขยายการลงทุนในแหล่ง Statfjord โดยคาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในวันที่ 30 พ.ย. 66

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจ อันเกิดจากการวางรากฐานในการสร้างขีดความสามารถของบางจากฯ นับเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจ ด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเอื้อต่อบางจากฯ ในการแสวงหาและคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สู่ความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น โดยเรายังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบและมุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ควบคู่กับการรักษาสมดุลของความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ (Energy Trilemma)”

ทั้งนี้ เมื่อเดือนก.ย. บางจากฯ ได้อนุมัติได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 66 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.5 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบางจากฯ ในการเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง