บล.กสิกรฯให้แนวรับ 1,385 ลุ้นไปต่อ 1,450 สัปดาห์หน้า

HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยจับตาตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค.-ทิศทางเงินทุนต่างชาติ-กำไรบจ. ชี้นำตลาดหุ้น หลังยืนปิดเหนือ 1,400 จุด ด้านค่าเงินบาท ธนาคารกสิกไทยมองกรอบเคลื่อนไหวที่ 35.40-36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ  จากระดับ 35.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ แข็งค่าสุดในรอบประมาณ 1 เดือนครึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย มองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (6-10 พ.ย.2566) ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,400 และ 1,385 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,430 และ 1,450 จุด ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 3/66 ของบจ.

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขนำเข้าและตัวเลขส่งออกเดือนก.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนต.ค. ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 ของอังกฤษ ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนต.ค.ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต

ในวันศุกร์ที่ 3 พ.ย. ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,419.76 จุด เพิ่มขึ้น 2.27% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 40,508.75 ล้านบาท ลดลง 10.39% ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.82% มาปิดที่ระดับ 407.19 จุด

ดัชนีหุ้นกลับมายืนเหนือ 1,400 จุดได้อีกครั้ง ทั้งนี้หุ้นแกว่งตัวในกรอบแคบช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนในช่วงก่อนผลการประชุมเฟด ประกอบกับสถานการณ์ความขัดแย้งในอิสราเอลยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ดี หุ้นยดีดตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ หลังเฟดมีมติคงดอกเบี้ยตามตลาดคาด พร้อมส่งสัญญาณซึ่งตลาดตีความว่า เฟดอาจยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่งผลให้มีแรงซื้อคืนหุ้นทุกกลุ่ม นำโดยไฟแนนซ์และเทคโนโลยี ซึ่งมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากผลประกอบการไตรมาส 3/66 ของผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งที่ออกมาดีกว่าตลาดคาด

ส่วนค่าเงินบาท สัปดาห์ถัดไป (6-10 พ.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 35.40-36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทปรับตัวผันผวนในช่วงก่อนการประชุมเฟด โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงแรก เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ก่อนจะอ่อนค่ากลับมาในช่วงกลางสัปดาห์ตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกที่ไม่สามารถประคองตัวเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ได้ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับมาบางส่วนตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการประชุมเฟด

อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกแข็งค่าหลังการประชุมเฟด ซึ่งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมที่ 5.25-5.50% และมีท่าทีในเชิงคุมเข้มน้อยกว่าที่ตลาดกังวล  ทำให้ตลาดตีความว่า โอกาสที่จะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟดในระยะข้างหน้า น่าจะลดน้อยลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าที่คาดด้วยเช่นกัน

ในวันศุกร์ที่ 3 พ.ย. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ (หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 เดือนครึ่งที่ 35.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ) เทียบกับ 36.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (27 ต.ค.)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-3 พ.ย. 2566 นั้น ขายสุทธิหุ้นไทย 3,171 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 469 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 464 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 5 ล้านบาท)