คำต่อคำ”ณพ ณรงค์เดช” กับมหากาพย์ “วินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ”ใครกันแน่ที่โกง?

HoonSmart.com>>”ณพ ณรงค์เดช” พร้อมแม่ยายและทีมที่ปรึกษากฎหมาย แถลงข่าวชนะ 5 คดีรวดที่มีการฟ้องร้องกันภายใน”ครอบครัวณรงค์เดช” ตลอด 6 ปี ยอมรับความขัดแย้งกับพี่น้อง เป็นเรื่องที่เสียใจที่สุด เผยยื่นฟ้องกฤษณ์ เบียดบังค่าเช่าที่ดินที่เป็นทรัพย์มรดกเป็นของตัวเองเพียงผู้เดียว ยันเงินซื้อวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯกว่า 6,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งยืมครอบครัว มีเอกสารหลักฐานชัดและใช้คืนครบพร้อมดอกเบี้ย ไม่ได้โกง คำสั่งศาลชัด สรุปได้ว่าใครกันแน่ที่โกง

เมื่อวันที่ 2 พ.ย.2566 นายณพ ณรงค์เดช หนึ่งในผู้ถือหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) ผ่าน บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) (KPNET) พร้อมด้วยคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา แม่ยาย และทีมที่ปรึกษากฎหมาย ประกอบด้วย นายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ นายอภิวุฒิ ทองคำ ตั้งโต๊ะแถลงผลการตัดสินของศาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ศาลอาญา ศาลแพ่ง ให้”นายนพและพวก”ชนะทุกคดีที่โจทก์ “ครอบครัวณรงค์เดช” ทำการฟ้องร้อง รวม 5 คดี เป็นเวลา 6 ปี นับจากปี 2561 พร้อมกับแจกเอกสารสรุปคดีภายในครอบครัว และ ใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ WEH?

คำต่อคำ เคลียร์ใจครั้งแรก ปมครอบครัวณรงค์เดช และธุรกิจครอบครัว

นายนพ กล่าวว่า พี่กับน้องของผม คือ คุณกฤษณ์ และคุณกรณ์ ได้ทำการเผยแพร่ให้ข่าวเกี่ยวกับที่พวกเขามาฟ้องคดีผมและคุณหญิงกอแก้ว โดยใช้วิธีการให้ข่าวที่เบี่ยงเบนประเด็น โดยไม่ให้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน เพื่อทำให้ผู้ติดตามข่าวเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าผมไปโกงนายนพพร ไปโกงพี่น้อง ซึ่งทำให้ผมและคุณหญิงกอแก้ว ภรรยา และลูกๆ ของผม เสื่อมเสียชื่อเสียง และได้รับผลกระทบต่างๆ มากมาย

เราเลือกที่จะไม่ตอบโต้และรอให้ศาลพิพากษาตัดสินครบทุกคดี แล้วค่อยออกมาชี้แจงทีเดียวให้เกิดความชัดเจนในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความจริงคืออะไร ใครกันแน่ที่โกง

เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2565 และวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญารัชดา และศาลอาญาใต้ ตามลำดับ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องทั้ง 2 คดี ในเรื่องที่พี่กับน้องได้ให้คุณพ่อมาฟ้องผมและคุณหญิงกอแก้ว ในข้อหาใช้เอกสารปลอม และปลอมเอกสาร

และเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งเป็นคดีที่นายนพพร ได้ฟ้องผมและพวก ในคดีที่เรียกว่าโกงเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นคดีอาญา ซึ่งเป็นคดีสุดท้ายที่ผมรอฟังคำพิพากษาอยู่ ศาลก็มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทุกคนเช่นเดียวกัน พยานหลักฐานชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้ทำผิดใดๆ

 

นายณพ ย้อนอดีตว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากที่เข้าไปซื้อ WEH จากนายนพพร ซึ่งได้หลบหนีออกจากประเทศไทย เป็นผู้ต้องหาหนีคดีอาญาเรื่องทำร้ายร่างกาย และหน่วงเหนี่ยวกักขัง ซึ่งกระทำการผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวเนื่องด้วย จึงมีความจำเป็นต้องขายหุ้นออกมา เป็นการขายหุ้นแบบขายขาด และได้โอนหุ้นให้ผมก่อนแล้วค่อยชำระเงินทีหลัง เพื่อแก้ไขปัญหาของ WEH ที่ไม่สามารถกู้เงินเพื่อดำเนินกิจการต่อไปได้ จากปัญหาที่นายนพพร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ธนาคารจึงไม่ให้สินเชื่อ

เมื่อผมรับโอนหุ้นมา ได้มีการชำระเงินงวดแรก เมื่อปลายปี 2518 จำนวนเงิน 90.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท เมื่อนายนพพร รับเงินไปแล้ว นายนพพรได้ไปฟ้องเพื่อขอหุ้นคืน ซึ่งก็แพ้คดี อนุญาโตตุลาการให้เขาปฏิบัติตามสัญญากับผม คือ ให้นายนพพรรับชำระเงินค่าหุ้นส่วนอื่นๆ ต่อไป เอาหุ้นคืนไม่ได้ ผมจึงชำระเงินอีก 85.75 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาทให้คุณนพพรไป ตั้งแต่ต้นปี 2561 ซึ่งครบตามสัญญา เหลือเพียงเงินโบนัสที่ยังโต้แย้งที่ยังค้างอยู่ในคดีของศาลไทยเท่านั้น

เมื่อนายนพพร ได้รับเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้หุ้นคืนก็ไปฟ้องคดีอื่นๆ ตามมาอีกหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ในประเทศไทย และ ในประเทศอังกฤษ คดีทุกๆ คดีในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ในประเทศไทย ศาลตัดสินให้คุณหญิงกอแก้วและผมชนะทุกคดี

มีเพียงศาลอังกฤษที่ตัดสินบนกฎหมายไทยให้คุณหญิงกอแก้วและผมแพ้คดี ต้องชดใช้เงินจำนวนมหาศาลให้นายนพพร โดยศาลอังกฤษอ้างความชอบธรรม ที่จะฟังความจากนายนพพรเพียงท่านเดียว โดยเขียนคำพิพากษาทำนองที่ว่าตนเห็นว่านายนพพรเป็นผู้สุจริต โดยไม่โต้แย้งหรือเขียนถึงคำบรรยายที่ฝ่ายผมนำเสนอไปว่านายนพพรเป็นคนไม่สุจริต ไว้ในคำพิพากษา ขอยกตัวอย่าง นายนพพร ถูกผู้พิพากษาจำคุกโดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ในประเทศไทย จากความผิดฐานยักยอกทรัพย์ นายนพพร ได้ขัดขวางไม่ให้ผมหาเงินกู้มาชำระค่าหุ้นให้กับนายนพพรได้ทันในเวลาที่กำหนดเพื่อให้ผมผิดนัดแล้วนายนพพรจะได้อ้างเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาซื้อขายเพื่อเรียกเอาหุ้น WEH คืนที่ได้ขายให้กับผม

ในที่สุด ผมเป็นฝ่ายชนะคดี โดยคำพิพากษาของศาลที่อังกฤษที่ได้ใช้กฎหมายไทย ได้ถูกศาลแขวงพระนครใต้ตัดสินกลับแล้ว เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ในคดีที่นายนพพรฟ้องผมเป็นคดีอาญาว่าผมโกงเจ้าหนี้ โดยศาลไทยพิพากษาว่า ไม่ได้โกงเจ้าหนี้และยกฟ้อง

ความขัดแย้งกับพี่น้อง เป็นเรื่องที่เสียใจที่สุด

ความขัดแย้งกับพี่น้อง เป็นเรื่องที่เสียใจที่สุด มูลเหตุมาจากหุ้น WEH ที่ซื้อมาจากนายนพพร เพราะพี่น้องต้องการหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ ที่ผมซื้อมาเป็นของเขาจำนวน 49% แบบฟรีๆ ครับ โดยผมเป็นผู้ลงทุนคนเดียว ไม่ได้เป็น กงสี ไม่มีความจำเป็นต้องมาหาร 3 ซึ่งทรัพย์สินที่ถือร่วมกันและรอเวลาแบ่งสรรกันก็มีเพียงทรัพย์มรดกหลายรายการ ที่คุณแม่คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช กำหนดไว้ชัดเจนในพินัยกรรม ให้แบ่งกันระหว่างพี่น้อง 3 คนตามเจตนารมณ์ของคุณแม่ โดยกำหนดให้คุณกฤษณ์ เป็นผู้จัดการมรดก ปัจจุบันยังไม่มีการแบ่งออกมาครับ

ส่วนธุรกิจที่คุณกฤษณ์ คุณกรณ์ และผม เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกัน โดยถือหุ้นคนละ 1 ใน 3 ก็มีเพียงบริษัทเค พี เอ็น แลนด์ เท่านั่น ซึ่งในอดีตผมได้ทำหน้าที่ดูธุรกิจนี้ให้กับครอบครัวด้วยความเต็มใจ จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งเรื่องหุ้น WEH ผมจึงโดนกันออกมา ไม่ได้ร่วมบริหาร หรือ ร่วมตัดสินใจใดๆ รวมทั้งการที่บริษัทเค พี เอ็น แลนด์ เข้าไปถือหุ้นของบริษัทไรมอนแลนด์ ด้วย ทั้งๆ ที่ผมถือหุ้น 1 ใน 3

นอกจาก บริษัทเค พีเอ็น แลนด์ แล้ว ผมยังสนใจทำธุรกิจด้วยตนเองเสมอมา เพราะเติบโตมากับคุณพ่อคุณแม่ที่ปลูกฝังและสอนให้ขยันทำมาหากินด้วยความสุจริต ธุรกิจส่วนตัวผมปัจจุบัน มีสถาบันดนตรี เค พี เอ็น ซึ่งเป็นธุรกิจที่ผมรักและภูมิใจมากด้วยเพราะทำตามความปราถนาของคุณแม่ ปัจจุบันมี 26 สาขาทั่วประเทศ ด้านธุรกิจโรงพยาบาลนวเวช ได้ร่วมทุนกับอีก 2 บริษัท

ที่ผ่านมา เมื่อมีธุรกิจที่น่าสนใจ ผมจะชวนพี่กับน้องผมเสมอ ว่าสนใจร่วมลงทุนด้วยหรือไม่ เช่นเดียวกับการเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ ผมได้ถามพี่น้องว่าสนใจจะร่วมลงทุนด้วยหรือไม่ ผมได้คำตอบว่า “เพ้อฝัน” เขาปฏิเสธที่จะลงทุนกับผม

ผมจึงเดินหน้าจัดหาเงินทุนด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต และเมื่อได้เข้าไปบริหารกิจการของ WEH จนสามารถมีกำไร สามารถจ่ายเงินปันผลได้ พี่กับน้องผม ก็มากล่าวอ้างว่าได้ร่วมลงทุนด้วย ผมได้ชี้แจงไปว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม แต่คุณกฤษณ์กับคุณกรณ์ ได้ไปยื่นฟ้องผมที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อบังคับให้ผมโอนหุ้นบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ ให้เขาทั้ง 2 คน รวมกัน 49% แบบฟรีๆ โดยได้อ้างว่าร่วมลงทุนด้วย ซึ่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้มีคำพิพากษาว่าทั้ง 2 คนไม่ได้ร่วมลงทุนซื้อจ่ายเงินซื้อวินด์ เอนเนอร์ยี่ร่วมกับผม

นอกจากนี้ ยังไปฟ้องคดีอาญา ว่าคุณหญิงกอแก้ว และผม ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม เพื่อเป็นการกดดันให้ผมยอมที่จะแบ่งหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯให้กับเขาทั้ง 2 คน ซึ่งศาลได้ยกฟ้อง

การแถลงข่าวเรื่องปลอมเอกสาร เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากผลของคดี ที่ยกฟ้องทั้ง 2 คดี คุณหญิงกอแก้วไม่ได้ปลอม ผมไม่ได้ปลอมเอกสาร และไม่ได้ใช้เอกสารปลอม คุณกฤษณ์และคุณกรณ์ก็ไม่เคยให้ข่าวว่าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้พิพากษายกฟ้องว่าคุณกฤษณ์และคุณกรณ์ ไม่ได้ร่วมลงทุนซื้อหุ้นวิน เอนเนอร์ยี่กับผมเลย เท่ากับไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในหุ้นวินด์ฯ

นอกจากนี้ คุณกฤษณ์ ไม่เคยให้ข่าวว่าถูกผมฟ้องว่าเป็นผู้จัดการมรดกที่ไม่ยอมแบ่งมรดกตามเจตนารมณ์ของคุณแม่ที่เขียนไว้ในพินัยกรรมให้กับผมและหลานๆ ตั้งแต่ปี 2556 นับจากวันที่คุณแม่จากเราไปเป็นเวลา 10 ปีแล้ว คุณกฤษณ์เองก็ยังมีพฤติกรรมเบียดบังค่าเช่าที่ดินที่เป็นทรัพย์มรดกที่ตกทอดมาถึงลูกทั้ง 3 คน เอาไปเป็นของตนเองเพียงผู้เดียว ซึ่งผมได้ฟ้องที่ศาลแขวงกรุงเทพใต้ และศาลเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย จนคำพิพากษาลงโทษจำคุกคุณกฤษณ์ เป็นเวลา 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และยังมีพฤติกรรมลักษณะเดียวกันนี้อีก ซึ่งคุณกฤษณ์ อาจต้องรับผิดเพิ่มอีกในหลายกรณี

ที่ผ่านมาผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว จึงไม่ต้องการพูดผ่านสื่อเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่คุณกฤษณ์และคุณกรณ์ได้ใช้สื่อให้ร้ายกล่าวหาผมว่าเป็นคนโกงพี่โกงน้อง ทำให้ครอบครัวมีปัญหาจนเกิดความแตกแยกภายในครอบครัว ผมจึงถูกบังคับด้วยสถานการณ์ให้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ครบ เพื่อสรุปว่าใครกันแน่ที่โกง

แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาผมจะไม่ได้มีโอกาสเข้าไปพบคุณพ่อที่บ้าน ไม่ได้รับแม้แต่โอกาสให้เข้าไปหาคุณพ่อ ไม่ว่าผม ลูกผม ก็ไม่ได้เข้าพบคุณพ่อได้ อยากเรียนว่าผมและลูกๆ ยังเคารพคุณพ่ออย่างสูงเช่นเดิมและรอวันที่จะเข้าไปกราบคุณพ่อ