ดาวโจนส์ปิดดีด 221 จุด เฟดคงดอกเบี้ย คาดเสร็จสิ้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 221 จุด รับเฟดคงดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ตามคาด นักลงทุนมองเฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ “ราคาน้ำมันดิบ WTI” ลดลง 58 เซนต์ ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดวันที่ 1พฤศจิกายน 2566 ที่ 33,274.58 จุด เพิ่มขึ้น 221.71 จุด หรือ 0.67% หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)คงอัตราดอกเบี้ยไว้เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ส่งผลให้นักลงทุนมองว่าเฟดเสร็จสิ้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว และจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงที่เหลือของปี

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,237.86 จุด เพิ่มขึ้น 44.06 จุด, +1.05%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,061.47 จุด เพิ่มขึ้น 210.23 จุด, +1.64%

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของ เฟด มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นตามคาดไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมที่เสร็จสิ้นเมื่อวานนี้(1 พ.ย.) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี

ก่อนหน้านี้เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่ที่เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ในเดือนมีนาคม 2022 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25%

เฟดระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่สาม

เดมานนิค ดังเตส์ นักกลยุทธ์ด้านพอร์ตโฟลิโอของ Global X กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เฟดจึงมีโอกาสน้อยที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากนั้นเพื่อเดินหน้าลดอัตราเงินเฟ้อ และภาวะการเงินที่เข้มงวดขึ้นนับตั้งแต่การประชุม FOMC เดือนกันยายน ก็บรรลุเป้าหมายของเฟดได้บางส่วน

FedWatch Tool ของ CME พบว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 73% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ไปจนถึงการประชุมเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นจาก59% ในวันก่อนหน้า

อย่างไรก็ตามในงานแถลงข่าวหลังประกาศผลการตัดสินใจ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ไม่ปิดทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้าเสียทีเดียว โดยกล่าวว่า ความคิดที่ว่าการจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากคงไว้ในการประชุมสองครั้งนั้น ทำได้ยาก เป็นความคิดที่ผิด

เมื่อถามเกี่ยวกับการคาดการณ์ของเฟดก่อนหน้านี้ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ นายพาวเวลล์ชี้ว่า สรุปการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ใช่คำสัญญาหรือแผนงานในอนาคต

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงหลังเฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยและหลังจากที่กระทรวงการคลังได้ประกาศแผนการขายพันธบัตร ซึ่งช่วยหนุนตลาดหุ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลงต่ำกว่าระดับ 4.8% ในวันพุธ หลังจากที่ขยับขึ้นเหนือ 5% ในเดือนตุลาคม ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีลดลงต่ำกว่า 5%

กระทรวงการคลังจะเปิดประมูลพันธบัตรวงเงิน112 พันล้านดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ นักลงทุนหุ้นจับตาการประกาศของกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิดมากว่าปกติ เพราะเห็นจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่ามีผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาด โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 2% หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ ทั้ง AMD และ Micron Technology เพิ่มขึ้น 9.7% และ 3.8% ตามลำดับ หุ้นของ Nvidia เพิ่มขึ้นกว่า 3%

อย่างไร็ตามนักลงทุนผิดหวังกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังหลากหลาย แม้ 79.7% ของ 310 บริษัทใน S&P 500 มีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดและมีเพียง 16.1% เท่านั้นที่ต่ำกว่าคาด

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ได้แก่ การจ้างงานของภาคเอกชนเดือนตุลาคมจากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ ที่เพิ่มขึ้น 113,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่า 130,000 ตำแหน่ง ที่นักวิเคราะห์คาด

สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) รายงาน ดัชนีภาคการผลิตเดือนตุลาคมลดลงสู่ระดับ 46.7 จาก 49.0 ในเดือนกันยายน และต่ำกว่า 49.2 ที่นักวิเคราะห์คาด

กระทรวงแรงงานรายงานผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) ว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน เพิ่มขึ้น 56,000 ตำแหน่ง มาที่ 9.553 ล้านตำแหน่งในเดือนกันยายน และสูงกว่า 9.250 ล้านตำแหน่ง ที่นักวิเคราะห์คาด

นักลงทุนยังจับตาการรายงานข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนตุลาคมในวันศุกร์ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 188,000 และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนตุลาคมจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ดัชนี STOXX 600 ปรับขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สาม นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ขณะที่นักลงทุนรอผลการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) แต่การซื้อขายเบาบางเนื่องจากเป็นวันหยุดของหลายประเทศในวัน All Saints’ Day

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของตลาดถูกจำกัดจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยูโรโซน

นอกจากนี้นักลงทุนยังให้ความสนใจกับข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของยูโรโซนลดลงเร็ว และเศรษฐกิจเริ่มหดตัวซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 1.1% โดยหุ้นNovo Nordisk บวก 1.6% ก่อนการาายงานผลประกอบการในวันที่ 2 พ.ย.นี้

หุ้นกลุ่มค้าปลีกเพิ่มขึ้น 1.7% ด้วยแรงหนุนจากหุ้น NEXT ของอังกฤษที่พุ่งขึ้น 3.6% หลังปรับเพิ่มแนวโน้มผลกำไรทั้งปีเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 6 เดือน

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 436.57 จุด เพิ่มขึ้น 2.91 จุด, +0.67%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,342.43 จุด เพิ่มขึ้น 20.71 จุด, +0.28%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,932.63 จุด เพิ่มขึ้น 46.98 จุด, +0.68%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,923.27 จุด เพิ่มขึ้น 112.93 จุด, +0.76%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 58 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 80.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 84.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล