EXIM BANK รุกสินเชื่อ GREEN-BLUE อัดฉีดธุรกิจ-SMEต่อยอดพัฒนายั่งยืน

HoonSmart.com>>EXIM BANK พร้อมนำธุรกิจไทยทุกระดับรุกตลาดโลกสีเขียว ลดปัญหาเหลื่อมล้ำและสิ่งแวดล้อม หนุนสินเชื่อยั่งยืนแล้ว 6 พันล้านบาท สัดส่วน 37%ของสินเชื่อรวม คาดว่าปี 71 เพิ่มเป็น 50% เสนอดอกเบี้ยต่ำช่วย SMEs ปรับเปลี่ยนธุรกิจ-เครื่องจักร จับคู่ขายสินค้าให้กับบริษัทใหญ่  เดินหน้าหนุนผู้ส่งออกเต็มที่ โดยผลงานโตเข้าเป้า กำไรก่อนสำรอง 2,396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18 % กำไรสุทธิ 246 ล้านบาท รายได้โตเกือบ 20% ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น รองรับ NPLs 6,665 ล้านบาท เท่ากับ 4.04% แผนปี 67 เพิ่มสินเชื่อใหม่ๆ ขายพอร์ตหนี้เสีย ออก BLUE Bond 5 พันล้านบาท 

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งสู่บทบาท “Green Development Bank”(ธนาคารเพื่อการพัฒนาสีเขียว) โดยสานพลังกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 ควบคู่ไปกับการยกระดับประเทศไทยสู่ประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค รวมถึงการพัฒนาคนตัวเล็กหรือ SMEs ไทยให้เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และแข่งขันได้ในเวทีโลก

EXIM BANK พร้อมใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญพัฒนาเครื่องมือทางการเงินสีเขียวที่เสริมสร้างการพัฒนาระบบนิเวศการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ยกระดับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยโดยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนกระบวนการผลิตสินค้าและให้บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

” SMEs ที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนธุรกิจ เปลี่ยนเครื่องจักร ปรับตัวเป็นธุรกิจสีเขียว ใช้พลังงานทางเลือก เพื่อแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าโลก  เราก็พร้อมให้การสนับสนุน เสนอดอกเบี้ยต่ำในวันเซ็นสัญญา นอกจากนี้ยังช่วยสร้าง Supply Chain (ห่วงโซ่อุปทาน) มีการจับคู่ขายสินค้าให้กับบริษัทขนาดใหญ่ เพิ่มอัตราการเติบโตได้มากกว่าการดำเนินธุรกิจปกติ”ดร.รักษ์กล่าว

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังสร้าง ecosystem ตั้งแต่ต้นน้ำและปลายน้ำ พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มตั้งแต่ให้เปลี่ยนขบวนการผลิต การใช้พลังงานสะอาด  และ Supply Chain  ก็จะต้องใช้พลังงานสะอาด   เพื่อให้ทุกภาคส่วนพัฒนาองค์กรและกิจการไปสู่ “ความยั่งยืน” ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ  ในกรร่วมกันแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสภาวะโลกร้อน แก่นสำคัญของเป้าหมาย SDGs คือ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สอดคล้องกับเป้าหมายและพันธกิจของ EXIM BANK

นับตั้งแต่ EXIM BANK เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537  ได้ทำหน้าที่ธนาคารผู้นำพาผู้ประกอบการไทยไปปักหมุดธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ จำนวนกว่า 400 โครงการ กำลังการผลิตกว่า 8,800 เมกะวัตต์  (MW) ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 100 ล้านตัน โดยเป็นการสนับสนุนทางการเงินกว่า 68,600 ล้านบาท สร้างมูลค่าการลงทุนกว่า 578,300 ล้านบาท คาดว่าถึงสิ้นปี 2566 จะให้การสนับสนุน 10,000  MW รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนธุรกิจไทยและ SMEs ให้ปรับตัวเป็นธุรกิจสีเขียว แข่งขันได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าโลก

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 EXIM BANK มีแผนเดินหน้าพัฒนาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ อีกหลายมิติ อาทิ สินเชื่อเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยสำหรับดำเนินธุรกิจที่คำนึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี (ESG) การระดมทุนเพื่อนำมาใช้กับโครงการที่เป็นประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเลโดยเฉพาะ (Blue Bond) เช่น พาณิชยนาวีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเสนอขายมูลค่า 5,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก การสนับสนุนธุรกิจสีเขียวครอบคลุม Scope ที่ 1-2-3 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ทางอ้อมที่เกิดจากการใช้พลังงาน และทางอ้อมอื่น ๆ จากการดำเนินงานขององค์กร) เพื่อบรรลุเป้าหมาย EXIM BANK จะเพิ่มสัดส่วน Green Portfolio และที่เกี่ยวเนื่องจาก 37% ในปัจจุบันให้เป็น 50% ภายในปี 2571 เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจและธุรกิจไทยไปพร้อมกันบนพื้นฐานของความยั่งยืน

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2566 กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 3% และคาดว่ามูลค่าส่งออกจะหดตัว 1-2% หรือดีที่สุดอาจจะทรงตัว ส่วนในไตรมาส 4  เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก คาดว่าจะกลับมาขยายตัว ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 ธนาคารมีสินเชื่อคงค้าง 164,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,161 ล้านบาท หรือเติบโต 3.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดคงค้างสินเชื่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 60,298 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด เพิ่มขึ้นถึง 37.36%  เป็นผู้ประกอบการ SMEs 14,122 ล้านบาท คิดเป็น 23.42% จากสินเชื่อของ EXIM BANK ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจสีเขียว โดยตั้งเป้าหมายจะขยายเป็น 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ขณะเดียวกันท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและสถานการณ์ความไม่สงบในหลายประเทศ EXIM BANK ยังเร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 148,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของการสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งด้านสินเชื่อและประกันมีจำนวนลูกค้า 6,138 ราย เพิ่มขึ้น 6.05% คิดเป็นสัดส่วน Penetration Rate ต่อผู้ส่งออกทั้งประเทศ 18% ในจำนวนนี้ มีลูกค้า SMEs มากถึงกว่า 83% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารที่ไม่ทิ้งคนตัวเล็กและกลุ่มเปราะบางทางสังคม โดยได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการกว่า 27,800 ราย วงเงินรวมประมาณ 91,400 บาท

EXIM BANK ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินและบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยในระบบที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีกำไรก่อนสำรอง 2,396 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 18.48% แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและความเสี่ยงทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ส่งผลให้มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) จำนวน 6,665 ล้านบาท เท่ากับ 4.04% อย่างไรก็ตาม EXIM BANK มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) เพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในอัตราส่วน (Coverage Ratio) เท่ากับ 213.15% อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3/566 มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท และคงได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระดับ AAA (tha) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 และคงอันดับเครดิตสกุลเงินตราต่างประเทศระยะยาวที่ BBB+ เท่ากับประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 11

ธนาคารยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา Prime Rate 6.75% ต่อปีจนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวและภาคธุรกิจเร่งปรับตัวสู่ทิศทางโลกการค้ายุคใหม่ที่มุ่งเน้นความยั่งยืน คาดว่าในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีขึ้นกว่าปีนี้ กลไกสำคัญอย่างภาคส่งออกจะกลับมาฟื้นตัว เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากราคาสินค้าเกษตรส่งออกที่ปรับสูงขึ้น ปัญหา Supply Chain Disruption ที่คลี่คลาย สินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหารยังเป็นที่ต้องการอีกมาก ขณะที่การลงทุนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น การท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกับมาตรการภาครัฐยังคงกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

EXIM BANK จะเปิดดำเนินการครบ 30 ปีในปี 2567 ยังพร้อมทำหน้าที่ “มากกว่าธนาคาร” สนับสนุนให้ธุรกิจไทยมีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น สามารถเติบโตในเวทีการค้าโลกยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางโอกาสและปัจจัยท้าทายรอบด้าน รวมถึงปรับตัวรับมือมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่มีจำนวนราว 17,000 มาตรการ โดยเฉพาะมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) ทำให้สินค้านำเข้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตามปริมาณคาร์บอนที่ปล่อย ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ซึ่งจะบังคับใช้เต็มรูปแบบในเดือนม.ค. 2569 และกฎระเบียบสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation-free Products Regulation : EUDR) ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าเกษตร 7 กลุ่มคือ โกโก้ กาแฟ ปาล์มน้ำมัน ไม้และกระดาษ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ วัวและผลิตภัณฑ์ ถั่วเหลือง ต้องลงทะเบียนแจ้งข้อมูลการผลิตทั้งระบบเพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าได้มีการตัดไม้ทำลายป่าในระบบการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์หรือไม่ ซึ่งจะบังคับใช้เต็มรูปแบบในเดือนธ.ค. 2567 ส่งผลให้ผู้ประกอบการทุกระดับต้องปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียวและความยั่งยืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ตลอดปี 2566 EXIM BANK ยังเดินหน้าสนับสนุนเศรษฐกิจเชิงรุก แม้สภาวะเศรษฐกิจและภาคการส่งออกยังไม่กลับมาฟื้นตัว โดยในช่วงต้นปีถึงกลางปี มียอดคงค้างสินเชื่อค่อนข้างคงที่ สอดคล้องกับมูลค่าการส่งออกของไทยที่หดตัวต่อเนื่อง แต่คาดว่าธนาคารจะทำได้ตามเป้าหมายปี 2566 มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 175,000 ล้านบาท และยังจะสานพลังหน่วยงานพันธมิตร รวมถึงลูกค้าผู้ประกอบการ เดินหน้าพัฒนาประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งคนตัวเล็กหรือ SMEs ไทยไว้ข้างหลัง พร้อมรับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ที่จะมาถึง บริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการของไทยให้ได้มาตรฐานสากล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกสะอาด ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสมดุล” ดร.รักษ์ กล่าว