“ปูนซิเมนต์ไทย”ทบทวนการลงทุนปี’67 รับมือ 2 สงครามทำศก.โลกผันผวนสูง

HoonSmart.com>>ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)ประกาศทบทวนโครงการลงทุนในปี 2567 ใหม่ทั้งหมด รับมือความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจาก 2 สงคราม ยูเครน-รัสเซีย ,อิสราเอล-ฮามาส เน้นธุรกิจยั่งยืนเติบโตสูง กำไรดี คุมค่าใช้จ่าย ส่วนปีนี้คาดการลงทุนจะมีประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ชะลอตัว รายได้ 1.25 แสนล้านบาท ลดลง 12% สาเหตุหลักจากธุรกิจเคมิคอลส์อยู่ในช่วงขาลง

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC)หรือ SCG กล่าวว่า ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาส 3 ปี 2566 ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัว มีรายได้ 125,649 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับธุรกิจเคมิคอลส์อยู่ในช่วงขาลง และสภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่กำไรสำหรับงวด 2,441 ล้านบาทใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านกำไรจากการดำเนินงาน 3,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีเงินสดคงเหลือแข็งแกร่ง 99,756 ล้านบาท เนื่องจากได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และดำเนินงานด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง จึงยังรักษาเสถียรภาพการเงินได้มั่นคง

สำหรับไตรมาส 4 เศรษฐกิจอาเซียนมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่จะมีการลงทุนและการบริโภคเพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ “นูซันตารา” ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการค้าในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับตัวลง ทำให้ควบคุมต้นทุนพลังงานได้ดีขึ้น

“อย่างไรก็ตาม ด้วยเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนสูงจาก 2 สงคราม ระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และ อิสราเอลกับฮามาส ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เราจึงต้องทบทวนการลงทุนทุกโครงการที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ส่วนในปีนี้คาดว่าการลงทุนจะจบลงที่ 4 หมื่นล้านบาท”นายรุ่งโรจน์ กล่าว

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า จากการที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ต้นทุนพลังงานผันผวน ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูง ตลาดจีนชะลอตัว ธุรกิจปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัวดี ผนวกกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อสูง ตลอดจนความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังดำเนินอยู่ เอสซีจีจึงเร่งเดินหน้า 3 กลยุทธ์เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ธุรกิจดำเนินได้ต่อเนื่อง ได้แก่

หนึ่ง รัดเข็มขัด ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม มุ่งลดต้นทุนพลังงาน เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดแทนการใช้พลังงานฟอสซิลซึ่งราคาผันผวน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ ปัจจุบันมีการใช้ 220 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงชีวมวลในโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย มีสัดส่วนการใช้ 40% พร้อมทั้งเร่งหาแหล่งพลังงานสะอาดอื่น ๆ อาทิ ปลูกหญ้าเนเปียร์ พืชให้พลังงานสูง 1,000 ไร่ ที่สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย มุ่งเป้าปลูก 30,000 ไร่ในปี 2571

สอง ทบทวนแผนงาน ชะลอโครงการที่ไม่เร่งด่วน เน้นลงทุนธุรกิจเติบโตสูง อาทิ ร่วมมือกับ Denka ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ลงทุนร่วมกับ Braskem ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ และลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมทดสอบเครื่องจักร เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงป้อนตลาดโลก

สาม รุกนวัตกรรมกรีน ที่มีความต้องการสูง ตอบเมกะเทรนด์โลก โดยสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice เติบโตโดดเด่น 9 เดือนของปีมียอดขาย 54% จากการขายสินค้าทั้งหมด พร้อมเดินเครื่องเต็มที่เพิ่มยอดขายให้ได้ 2 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมดในปี 2573 ขณะที่ SCG Cleanergy ธุรกิจพลังงานสะอาดครบวงจร ให้บริการระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) กับเครือเซ็นทารา พัฒนาเป็น Smart Hotel ควบคู่กับการเร่งส่งออกปูนคาร์บอนต่ำ และผลักดันนวัตกรรมกรีนอื่น ๆ อาทิ พลาสติกรักษ์โลก ธุรกิจรีไซเคิล

“เราไม่รู้ว่าสงครามจะจบเมื่อไหร่ และจะขยายวงไปมากกว่านี้ไหม จึงต้องเตรียมตัวรับมือ รัดเข็มขัดต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ลงทุนนะ แต่จะลดการลงทุนที่ยังรอได้ จะเน้นลงทุนในธุรกิจยั่งยืนที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก มีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว ที่เป็น New S-curve ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก เช่น ปูนซิเมนต์ที่ช่วยลดคาร์บอน ที่สามารถขายไปถึงตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้จะมีความผันผวนตาม geopolitics ต่ำ”นายธรรมศักดิ์ กล่าว

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)กล่าวว่า “SCGC มียอดขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น พร้อมเร่งปรับตัวสู่ธุรกิจพลาสติกรักษ์โลกครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ปัจจุบัน SCGC GREEN POLYMERTM มียอดขาย 170,000 ตัน สอดคล้องกับเป้าหมายผลิต 1 ล้านตัน ภายในปี 2573

ล่าสุดจัดตั้งบริษัท บราสเคม สยาม ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Braskem ประเทศบราซิล ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาและศึกษาโครงการโดยละเอียดก่อนทำการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย เพื่อก่อสร้างโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง

สำหรับผลิตวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ (Green-PE) ซึ่งจะมีกำลังการผลิต 200,000 ตันต่อปี ขณะเดียวกัน บริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ประเทศโปรตุเกส ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรใหม่สำเร็จตามแผน ทำให้มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงรวม 45,000 ตันต่อปี โดยจะเร่งเดินหน้าผลิตสินค้าในกลุ่มเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น (High Quality Odorless HDPE PCR Resin) รองรับความต้องการในยุโรปที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้านโครงการ ปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเตรียมทดสอบเครื่องจักร เพื่อผลิตโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงป้อนตลาดโลก

นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า นวัตกรรมโซลูชันก่อสร้างและอยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะปูนคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้นเป็น 69% เอสซีจีจึงได้เร่งปรับการผลิตและขยายการส่งออก ส่วน SCG Solar Roof Solutions มียอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งยังร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา จัดทำโครงการต้นแบบศูนย์การค้า Net Zero เริ่มแห่งแรกที่เซ็นทรัล อยุธยา โดยติดตั้ง SCG Air Scrubber โซลูชันเพื่ออาคารอากาศดี ประหยัดพลังงานสูงสุด 30% นอกจากนี้ได้ออกสินค้าใหม่ หลังคาเอสซีจี เมทัลรูฟ (Stone Coat) ช่วยลดเสียงฝนกระทบหลังคาสูงสุดถึง 12 เดซิเบลเมื่อเทียบกับแผ่นเมทัลชีททั่วไป ผลิตจากเม็ดหินควอตซ์เคลือบด้วยสีเซรามิก

ในขณะที่ SCG HOME เปิดศูนย์กระจายสินค้าหลัก (National Distribution Center) ที่รังสิต มีระบบเชื่อมต่อศูนย์กระจายสินค้าย่อยในภาคต่าง ๆ เพื่อส่งมอบสินค้าให้ร้าน SCG HOME ทั่วประเทศได้รวดเร็ว แม่นยำ

สำหรับความคืบหน้า SCG Decor สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้ว เตรียมเสนอขาย IPO ไม่เกิน 439.1 ล้านหุ้น พร้อมคว้าโอกาสเป็นผู้นำอาเซียนธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจร

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP)กล่าวว่า มุ่งดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะตลาด เน้นเพิ่มยอดขายบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังเติบโตได้ดี พร้อมกับเดินหน้ากลยุทธ์ขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เพื่อรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพ

ล่าสุดลงทุนใน Law Print & Packaging Management Limited ผู้ให้บริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรชั้นนำในสหราชอาณาจักร ที่เชี่ยวชาญและเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตสูง ซึ่งจะช่วยเสริมแกร่งให้ SCGP มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์เพิ่มขึ้นและขยายธุรกิจไปยังตลาดระดับโลก

นอกจากนี้ยังลงทุนใน Bicappa Lab S.r.L. ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการรายใหญ่ในอิตาลีและเป็นรายใหญ่ในยุโรป เพื่อขยายสู่ตลาดอุปกรณ์ “ปิเปตต์ทิป” และเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี รวมถึงการขยายฐานลูกค้าและทำให้สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ของ SCGP ในอาเซียน และการเติบโตของธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในอนาคตได้

นอกจากนี้ ได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และการจัดการพลังงาน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 15% ในปี 2566 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายแรกที่กำหนดไว้ตาม Science Based Target Initiative: SBTi ที่ 25% ภายในปี 2573 จากปีฐาน 2563