‘ภากร’ เตือนอย่าตื่นตระหนกหุ้นดิ่ง 2% ตปท.ทิ้ง 1.7 แสนลบ.เป็นเงินลงทุนสั้น

HoonSmart.com>>ตลท.ออกโรงแถลงด่วน หุ้นดิ่ง -2.17% ไม่พบ’ช็อตเซล-โปรแกรมเทรด’มากผิดปกติ ดัชนีร่วงตามต่างประเทศ นับจากต้นปีนี้ทรุดหนัก -16% ลั่นไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน หรือขาดความเชื่อมั่น แรงขายของต่างชาติสูงถึง 1.7 แสนล้านบาท ยันเป็นเงินลงทุนระยะสั้น ยังคงถือครองเท่าเดิม 29% เจาะไส้รายอุตสาหกรรมซื้อเพิ่ม-ขายออกบ้าง”ภากร”ร่วมทีมนายกฯโรดโชว์สิงคโปร์ ขายจุดแข็งไทยเพียบ มั่นใจโลกสงบ ฟันด์โฟลว์กลับมาแน่นอน ส่วนหุ้น IPO วันแรกขาดทุนยับ 30-40% ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกตัว เกิดจากตั้งราคาตอนตลาดดีกว่านี้ โชคไม่เข้าข้าง เข้าเทรดตลาดไม่เอื้อ

วันที่ 26 ต.ค.66 ตลาดหุ้นไทยไหลลงแรงถึง 2.17% หรือ -30.48 จุด ปิดที่ 1,371.22 จุด มูลค่าซื้อขาย 45,697.03 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,557.66 ล้านบาท ตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชียหลายแห่ง นำโดยเกาหลีใต้ (KOSPI) หนักสุด -2.71% ญี่ปุ่น (NIKKEI) -2.41% ส่วนตลาดหุ้นจีนบวกเล็กน้อย ด้านตลาดหุ้นยุโรปลดลงไม่ถึง 1%

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดแถลงข่าวด่วนในช่วงเย็นวันนี้ (26 ต.ค.2566) ยอมรับว่าหุ้นไทยร่วงแรงกว่าตลาดหุ้นหลายประเทศ แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และภูมิภาค ขณะที่ไม่ได้พบความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นช็อตเซลอยู่ที่ 11.34% จากช่วงปกติประมาณ 12% และโปรแกรมเทรดดิ้งอยู่ที่ 36% ปกติอยู่ที่ 30-37% โดยมองว่าสาเหตุหลักมาจากปัจจัยต่างประเทศ สภาพคล่องทั่วโลกหายไป เชื่อว่าหากปัจจัยลบคลี่คลาย โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง จะมีโอกาสที่หุ้นไทยจะพลิกกลับมาได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานของประเทศไม่ได้มีปัญหา จึงขอร้องให้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบคอบ และมีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ยกข้อมูลนักลงทุนต่างชาติขายออกไปตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 25 ต.ค.รวมทั้งสิ้น 1.7 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนระยะสั้น ส่วนการถือครองยังคงเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาอยู่ที่ 29% เดือนต.ค. 2566 ยังอยู่ที่ 29.3% นอกจากนี้เงินที่ไหลออก ยังน้อยกว่าที่ไหลเข้าเมื่อปีก่อนประมาณ 2 แสนล้านบาท ดังนั้นยังคงเหลือเงินลงทนสุทธิอีกมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนั้นดัชนีรายอุตสาหกรรม ก็ไม่ได้ปรับตัวลงมากถึง -16% บางอุตสาหกรรมกลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีการซื้อเพิ่ม และมีการขายออกบ้าง โดยบริษัทจดทะเบียนมีจุดเด่นเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ ทำให้เติบโตเร็วขึ้น หลายบริษัทมีการปรับตัวเก่ง ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่าเพิ่ม ใช้ต้นทุนเท่าเดิม ได้ผลิตภัณฑ์สูงขึ้น เช่น กลุ่มการแพทย์ ไม่ได้มีแต่การรักษาเท่านั้น  ขยายการให้บริการหลากหลาย  อย่าไปดู่แค่ธุรกิจดั้งเดิม  กลุ่มบริการก็สุดยอด ท่องเที่ยวไม่ได้มีแบบเดียว กลุ่มพลังงาน ไม่ใช่มีแค่ขุดน้ำมัน  มีการปรับตัวสร้างธุรกิจใหม่ สร้าง New S-Curve  แต่ขนาดเพิ่งเริ่มต้น ยอมรับว่ากลุ่มแบงก์มีน้ำหนักในการคำนวณมาก จะต้องเพิ่มจุดขาย

ขณะที่ ภาพรวมมหภาค เศรษกิจไม่มีอะไรน่ากังวล หนี้สาธารณะไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆทั่วโลก ภาคธนาคารแข็งแกร่ง มีเงินกองทุนสูง  NPLs ไม่มีปัญหา หากเศรษฐกิจโต การปล่อยกู้ไม่มีปัญหา ส่วนที่มีปัญหาคือหนี้ครัวเรือน แต่ธปท.กำลังแก้ไข ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง  มีความสามารถในการชำระหนี้หลายเดือน แต่ตอนนี้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว ทำให้การส่งออก และการบริโภคยังไม่กลับมา หากทุกอย่างคลี่คลาย เชื่อว่าจะโตก้าวกระโดด เพราะมีความพร้อม ไทยลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมาก เช่น การขนส่ง โลจิสติกส์ พร้อมที่จะขยายตัว   โดยมีแผนจะร่วมเดินทางไปโรดโชว์กับท่านนายกฯที่สิงคโปร์ จะนำจุดแข็งของไทยไปเสนอขาย

” หุ้นไทยปรับตัวลงมากกว่าที่อื่น  ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นเรื่องข้อมูล และการวิเคราะห์เป็นเรื่องสำคัญ ในการหาผลตอบแทนและโอกาส ในอนาคตจะทำอย่างไรให้ตลาดทุนแข็งแรงมากขึ้น คือความหลากหลายของนักลงทุน ประเภทของการลงทุน และบจ. ที่ตลาดทำอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องการสร้างความเชื่อมั่น เราได้ปรับปรุง 5 ขั้นตอนในการดูแลบจ. นับตั้งแต่ก่อนเข้าจดทะเบียน จนกระทั่งการออกจากตลาด ให้มีประสิทธิภาพ และทันสมัย ทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เราดูโจทย์ทุกจุดและทำอย่างต่อเนื่อง”นายภากรกล่าว

 

สำหรับหุ้น IPO ที่เข้าซื้อขายในช่วงนี้ เช่น บริษัท วินโดว์ เอเชีย ( WINDOW ) ปิดวันแรกที่ 1.27 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อที่ 39.52% บริษัท มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (MCA) ปิดที่ 2.04 บาท -1.26 บาทหรือ -38.18% นายภากรชี้แจงว่า  หุ้น IPO ไม่ได้ตกตลอด แต่เป็นการเกิดขึ้นในบางช่วง ในช่วงที่ตลาดเกิดความไม่แน่นอนสูง เพราะการตั้งราคาขาย บางครั้งการคาดการณ์อาจจะผิดทาง บางช่วงราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้น จึงไม่เห็นว่าผิดปกติ   บางวันที่หุ้นตกแรงๆ แน่นอน โชคในวันนั้นก็มีผลต่อราคาหุ้นใหม่

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลง วอลุ่มเทรดน้อยมาก รับแรงกดดันจากนอกประเทศ ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับขึ้นสูง, สถานการณ์ตะวันออกกลางที่ยังเป็นความเสี่ยงอยู่ รวมถึงจับตาคืนนี้ GDP ไตรมาส 3/66 ของสหรัฐจะออกมาสูงขึ้นมากหรือไม่ หากขึ้นไปมากแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐดีกว่าคาด เงินเฟ้อก็จะตามมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนาน ส่วนปัจจัยในประเทศก็ไม่มีอะไรสนับสนุน  ทั้งนี้ สหรัฐประกาศตัวเลข GDP  งวดไตรมาสที่ 3/2566 โต 4.9% ดีกว่าคาด

ทั้งนี้ ตลาดได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นำดิ่งโดยหุ้น DELTA และกลุ่มการเงินที่ปรับตัวลงไปมาก ด้านสัญญาณทางเทคนิคเข้าสู่เขตขายมากเกินไป (Oversold) มาก ลักษณะกราฟเป็นรูปตัวยูคว่ำ แสดงให้เห็นว่าดัชนีฯมีโอกาสที่จะปรับลงไปลึกได้อีก และก็มีโอกาสที่จะเด้งขึ้นได้มาก แต่ภาพรวมยังเป็นขาลง การเด้งขึ้นอาจเพื่อลงต่อ

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (27 ต.ค.) ตลาดหุ้นมีโอกาสเด้งขึ้นหลังร่วงแรง แต่สัญญาณยังเป็นขาลง พร้อมให้แนวรับ 1,350 จุด แนวต้าน 1,380-1,390 จุด