คิดได้ไง!เพิ่มเวลาเทรดครึ่งชั่วโมง แก้วอลุ่มซื้อขายเบาบาง

HoonSmart.com>>”เศรษฐา” นายกฯและรมว.คลังสั่งตลาดหลักทรัพย์ศึกษาขยายเวลาซื้อขายหุ้น หวังเพิ่มมูลค่าการซื้อขาย “ภากร”เปิดเฮียริ่งโบรกเกอร์ 25 ต.ค. โยนโจทย์เปิดเร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงช่วงบ่าย ก่อนขยายเวลาเพิ่ม ขอเวลาสรุปภายใน 3 เดือน เสียงค้านดังชัดเจน แก้ไม่ตรงจุด เพิ่มภาระต้นทุนเอกชน จี้ต้นเหตุตลาดเงียบเหงา ดัชนีร่วงแรงเพราะไทยหมดเสน่ห์ ไม่มีหุ้นดาวเด่นใหม่ๆ ที่ต่างชาติต้องการ โทษนโยบายรับหุ้นคุณภาพไม่ดี ทำร้ายประเทศระยะยาว รวมถึงสถานการณ์ดอกเบี้ย-บอนด์ยีลด์สูง กระทบหุ้นทั่วโลก 

แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยศึกษาแนวทางการขยายระยะเวลาซื้อขายหุ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อขาย  พร้อมแนวทางในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่ม  ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2566 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ นำโดยนาย ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ ได้จัดการประชุมร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เพื่อหารือเรื่องการขยายเวลาเปิด-ปิดการซื้อขาย เบื้องต้นอาจขยายช่วงเวลาภาคบ่ายให้เร็วขึ้นราวครึ่งชั่วโมง ก่อนขยายเวลาเปิดเร็วขึ้นในช่วงเช้าอีกครึ่งชั่วโมง  โดยไม่ขยายเวลาช่วงเย็น เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปิดทำการเวลา 16.30 น. ตรงกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่ปิดเวลา 17.30 น. และตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 18.30 น. ตามไทม์โซน

ปัจจุบันตลาดอนุพันธ์เปิดซื้อขายเร็วกว่าตลาดหุ้น ที่เริ่ม Pre-open เวลา 09.30-10.00 น. และซื้อขายจริงเวลา 10.00-12.30 น. ส่วนช่วงบ่ายจะเริ่ม Pre-open เวลา 14.00-14.30 น. และเริ่มเปิดจริงในช่วงเวลา14.30-16.40 น. ซึ่งข้อเสนอใหม่ของตลาดหลักทรัพย์จะให้เริ่มเปิด Pre-open เวลา 13.30-14.00 น. และเริ่มซื้อขายจริงในช่วงเวลา 14.00-16.40 น.

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์จะนำผลการศึกษาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ หลังจากเปิดเฮียริ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน เพื่อประเมินผลกระทบก่อนดำเนินการต่อไป

สำหรับผลเฮียริ่งเบื้องต้น  ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเรื่องขยายเวลาซื้อขาย   มองเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการ ในการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งเรื่องการปรับปรุงระบบการซื้อขายและการให้บริการ พร้อมเพิ่มจำนวนบุคคลากรแล้ว  นอกจากนี้ยังเห็นว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เป็นทราบโดยทั่วไปว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายลดลงมาก นักลงทุนต่างชาติขายออกมากประมาณ 1.7 แสนล้านบาทในปีนี้  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยสูง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นมาก(บอนด์ยีลด์) ทำให้หุ้นไม่น่าสนใจ ซึ่งเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก

ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติขายหนักอย่างต่อเนื่อง  ส่วนหนึ่งเนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีผลิตภัณฑ์การลงทุน ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่ม ธนาคาร พลังงาน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติไม่สนใจ ตลาดขาดสีสรรในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทจดทะเบียนไทย มีกำไรเติบโตไม่มากตามภาวะเศรษฐกิจที่โตปีละ 3.00% ที่สำคัญยังมีเรื่องการตกแต่งบัญชี และการโกงครั้งประวัติศาสตร์ในตลาดหุ้นไทย แต่ทางการกลับปล่อยปัญหาให้เรื้อรังจนถึงทุกวันนี้