“อินโดรามา เวนเจอร์ส” อวดงบไตรมาส 3/61 กำไรสุทธิทะลุ 1 หมื่นล้านบาท ทะยาน 186% จากช่วงปีก่อน กวาดรายได้รวม 9.26 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 32% หนุน 9 เดือนกำไร 2.4 หมื่นล้านบท เติบโต 121%
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 กำไรสุทธิ 10,053.98 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.75 บาท เพิ่มขึ้น 186% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 3,516.45 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.64 บาท ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2561 กำไรสุทธิ 24,110.68 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.26 บาท เพิ่มขึ้น 121% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 10,879.99 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.06 บาท
บริษัทมีผลดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส ไตรมาส 3/2561 ซึ่งมีการเติบโตทั้งปริมาณการผลิตและกำไร รวมทั้งในภูมิภาคใหม่ๆ ในไตรมาสนี้ราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะพาราไซรีน ซึ่งคาดว่าจะกลับไปสู่ระดับปกติต่อไป ถึงแม้ว่าอัตรากำไร PET ยังคงอยู่ในระดับเดิมกับไตรมาสที่ผ่านมาและผลกำไร PTA เพิ่มขึ้น Fibers ได้รับผลกระทบทางลบจากการหยุดดำเนินงานจาเหตุสุดวิสัยของผู้จัดหาวัตถุดิบ Polyamide ในทวีปยุโรปและจากความล่าช้าในการส่งผ่านราคาในผลิตภัณฑ์ HVA fibers
บริษัทมีรายได้รวม 96,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขาย 96.001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในงวดไตรมาส 3/2561 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนบริษัทมี Core EBITDA เพิ่มขึ้น 40% เป็น 409 ล้านเหรียญสหรัฐโดยสามารถสร้างกำไรได้ในทุกธุรกิจและทุกภูมิภาค โดยเป็นผลจากการเติบโตของปริมาณการผลิตจากกิจการใหม่และกิจการที่มีอยู่และ EBITDA ต่อตันโดยรวมที่สูงขึ้น Core EBITDA ต่อตันเท่ากับ 150 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% ได้แรงสนับสนุนจากทิศทางที่แข็งแกร่ง ซึ่งเกิดจากความหลากหลายทางภูมิภาคและการควบรวม PET ในขณะที่ผลการดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ HVA มีความหลากหลายได้กำไรในผลิตภัณฑ์ PEO และPackaging หักกลบกับผลกระทบเชิงลบจากความล่าช้าในการส่งผ่านราคาในผลิตภัณฑ์ HVA fibers และอตัรากำไรของ IPA ที่ปรับตัวสู่ระดับปกติ
ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 14% เป็น 2.7ล้านตัน จากกิจการใหม่ในประเทศบราซิลและโปรตุเกส ส่วนราคาน้ำมันดิบและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นไม่กระทบการดำเนินงานธุรกิจ PET และFeedstock มากนักเนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งแตกต่างจากธุรกิจ fibers ซึ่งได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการส่งผ่านราคาวัตถุดิบ
สำหรับปี 2562 บริษัทคาดว่าอุปทานและราคาวัตถุดิบจะปรับตัวสู่ระดับปกติ จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง เนื่องจากสภาวะราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง ปริมาณพาราไซลีนที่มีเพียงพอและอุปทานของ MEG ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะได้รับประโยชน์ทั้งจากอัตรากำไรและปริมาณการผลิตในปี 2562 เนื่องจากบริษัทขยายกิจการไปทั้งห่วงโซ่มูลค่าโพลีเอสเตอร์ทั่วโลก รวมถึงการขยายไปยังธุรกิจ HVA
บริษัทมีความพร้อมเป็นอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดและได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้า จากกลยุทธ์ในด้านความแตกต่าง การเป็นผู้เล่นในประเทศและการกระจายตัวในหลากหลายภูมิภาคโดยการมีฐานการผลิต 90 แห่งใน 30 ประเทศและมีการขายภายในภูมิภาคมากกว่าร้อยละ 90
สำหรับการเข้าซื้อกิจการและโครงการต่างๆ ยังขับดันการเติบโตของบริษัทต่อเนื่อง โดยปีนี้ประกาศเข้าซื้อ 9 กิจการ และเหลือ 3 โครงการจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 4 นี้ ได่แก่ Medco , Schoeller ,M&G Fibers
อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจในความยืดหยุ่นของรูปแบบธุรกิจและการเติบโตของกำไรและกระแสเงินสดในอนาคต บริษัทจึงยืนยัน Guidance ปี 2562 ที่ประกาศไปแล้ว