KBANK เปิดกำไรไตรมาส 3 ที่ 11,282 ลบ.รวม 9 เดือนตั้งสำรองเพิ่มถึง 31.35% 

HoonSmart.com>>ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดกำไรสุทธิ 11,282 ล้านบาทไตรมาส 3/66 โต 6.70% เทียบไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเพียง 2.62% จากกำไรดำเนินงานลดลง  รวม 9 เดือนกำไรทั้งสิ้น 33,018 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง  1.35% ตั้งสำรองสูงถึง 31.35% รายได้ดอกเบี้ยสุทธิโต 13.16% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 19.09%

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2566 มีกำไรสุทธิ 11,282 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 4.60 บาท เพิ่มขึ้น 708 ล้านบาท หรือ 6.70% จากช่วงเดียวกันกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,574 ล้านบาทหรือ 4.29 บาทต่อหุ้น  โดยรวม 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 33,018 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 13.62 บาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 439 ล้านบาทหรือ 1.35%เทียบกับกำไร 32,579 ล้านบาทหรือกำไรหุ้นละ 13.43 บาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 3/2566 ขยายตัวในกรอบจํากัด เนื่องจากภาคการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสัญญาณเปราะบางของเศรษฐกิจจีน ขณะที่การใช้จ่ายของภาคเอกชน ทั้งการบริโภคและการลงทุนมีทิศทางชะลอลง หลังจากที่เร่งตัวมากในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับแนวโนม้ในช่วงที่เหลือของปี 2566 แม้เศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่แรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐในปีนี้น่าจะจำกัด ประกอบกับยังต้องติดตามผล กระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญ่ต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรรวมถึงผลกระทบจากระดับหนี้ครัวเรือนและต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูงอาจกดดันทิศทางการใช้จ่ายภายในประเทศ

นอกจากนี้ยังต้องติดตามความตึงเครียดในอิสราเอลอย่างใกลชิด เพราะหากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือขยายวงกว้างออกไป ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวนในกรอบสูงเป็นเวลานาน ซึ่งก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อแนวโน้มศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจไทยและทำให้ตลาดการเงินรวมถึงค่าเงินบาทมีความผันผวนตามไปด้วย

ส่วนผลการดำเนินงานสําหรับงวด 9 เดือน/2566 มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ( ECL) และภาษีเงินได้มีจำนวน 81,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารยังคงดำเนินการตามหลักความระมัดระวังรอบคอบอย่างสม่ำเสมอในการพิจารณาตั้งสํารองฯ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งควบคู่ไปกับการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง คำนึงถึงสัญญาณการชะลอตัว และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ยังส่งผลให้การขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจอยู่ในกรอบจำกัด จึงพิจารณาตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 31.35% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับในไตรมาส 3 กับไตรมาสก่อนๆ สํารองฯ ยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งสอดคล้องกับที่ธนาคารได้ประมาณการไว้ก่อนหน้า

นอกจากนี้ธนาคารยังมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 13.16% สอดคล้องกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายแม้ว่าจะมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินนําส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอัตราปกติในอัตรา 0.46% และจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น  ขณะที่ธนาคารยังมีการดูแลลูกค้าเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินการดำเนินการเชิงรุกในการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวไม่เท่ากันผ่านช่องทางต่างๆ ของธนาคาร

สำหรับอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ( NIM) อยู่ที่ระดับ 3.62% นอกจากนี้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 19.09% หลัก ๆ จากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่เพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด และรายได้จากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศทีที่เพิ่มขึ้น

ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 12.57% สอดคล้องกับรายได้เพิ่มตามปริมาณธุรกิจและส่วนหนึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพยังเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 42.65% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ส่วนกำไรไตรมาสที่ 3/2566 อยู่ที่ 11,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.62% จากไตรมาส 2/2566 มีกำไรจากการดำเนินงานฯและภาษีเงินได้จำนวน 27,294 ล้านบาทใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยรายได้จากการดำเนินงานลดลงหลักๆ จากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่ลดลงตามภาวะตลาด ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ลดลงจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาด ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิอยู่ที่ 42.07% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 43.37%