HoonSmart.com>>บลจ.ทิสโก้ ประมินลงทุนปี 68 หลัง “ทรัมป์” คัมแบ็ก หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไปต่อได้แรงหนุนลดภาษี หุ้นเทคยังน่าสนใจ ด้าน “ตลาดหุ้นเอเชีย” ยกเว้นจีน ผลงานยังเติบโต ราคาไม่แพง ได้อานิสงส์การย้ายฐานการผลิต ด้านบริโภคในประเทศขยายตัว ส่วน “หุ้นไทย” วางเป้าหมายดัชนี SET ที่ 1,550 จุด พร้อมคัด 6 กองทุนเด่น จัดพอร์ตรับมือสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรอบใหม่
นายกันติพัฒน์ วงศ์สุคนธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายงานกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประเมินการลงทุนในปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจลงทุน โดยมองกลุ่มได้ประโยชน์จากลดภาษี, นโยบายการะตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังน่าสนใจ แต่ Valuation ยังสูง
อย่างไรก็ตามตลาดยังจับตานโยบายของทรัมป์เกี่ยวกับการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% ,การขึ้นภาษีในอัตรา 10-20% สำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60% และการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย ทำให้ต้นทุนแรงงานสูง ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและคาดว่าอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ GDP ขยายตัวลดลง 0.5% และอาจทำให้เงินเฟ้อ PCE ขยายตัว 0.30-0.40% รวมทั้งการใช้นโยบายการคลังของทรัมป์อาจทำให้อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP สหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น
ส่วน “จีน” ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภาษีการค้าจากนโยบายของทรัมป์ คาดว่าจีนจะตอบโต้ด้วยการลดค่าเงินหยวนเหมือนในรอบที่ผ่านมา และส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจจียังรอการฟื้นตัว แต่ความเสี่ยงขาลงจำกัด รัฐบาลหนุนการบริโภคในประเทศ, ก่อนประกาศอัตราขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ อาจเห็นการเร่งตัวขึ้นของสินค้าส่งออก คาด GDP จีนปีหน้าเติบโต 4.5% จากปีนี้คาดโต 4.8%
นายกันติพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมองว่ายังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหุ้นเอเชียเหนือ ได้รับผลบวกจาก semiconductor รวมถึงเอเชียได้ผลบวกจากการย้ายการผลิต,ด้านการบริโภคในประเทศที่ขยายตัว ขณะที่อินเดียเองยังมีแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง และนายกรัฐมนตรีก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ ด้าน Valuation ตลาดหุ้นเอเชียยังอยู่ในะดับไม่สูงเกิน
ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก ทองคำ ยังน่าสนใจ รอจังหวะซื้อปรับฐาน และช่วยป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ ขณะที่กลุ่ม REITs น่าสนใจจากภาวะดอกเบี้ยทั่วโลกเป็นขาลง
นายกันติพัฒน์ กล่าวว่า ภาพรวมปีหน้าทั้งโลก GDP โลกทรงตัว แต่สหรัฐฯ แม้ลดลงก็ยังโต ไม้ได้ขึ้นชะลอตัว อินเดียดีขึ้นเรื่อยๆ ญี่ปุ่นก็ดีขึ้น ส่วนจีนชะลอ ไทยดีขึ้นเล็กน้อย แต่ทรัมป์มายังต้องจับตาว่าจะเข้มงวดกับจันมากน้อยแค่ไหนกับการขึ้นภาษีกับจีนและทั่วโลก ส่วนดอกเบี้ยทั่วโลกยังเป็นขาลง ยกเว้นญี่ปุ่น แต่ดอกเบี้ยสหรัฐอาจยังลงได้ไม่เร็วหลังทรัมป์มา
“หากเทียบราคาหุ้นในแต่ละตลาดกับการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน พบตลาดเกิดใหม่ ไม่รวมจีน มี EPS Growth เติบโตสูงสุด ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ถือว่าแพง รวมถึงตลาดหุ้นเวียดนาม เกาหลีใต้ ส่วนหุ้นไทยอยู่ระดับกลางๆ ”
นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกมองความเสี่ยงในปี 2568 ไม่ได้อยู่ที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่ให้น้ำหนักความเสี่ยงผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่กังวลมากที่สุด รองลงมาเป็นสงครามการค้าโลก , การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด, การขึ้นภาษีของสหรัฐฯและราคาน้ำมันสูงขึ้นจากภูมิรัฐศาสตร์
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ตลาดเปลี่ยนมุมมองเฟดอาจลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2568 จากก่อนหน้าคาดว่าจะลดลงถึง 6 ครั้ง แต่การประชุมในเดือนธ.ค.นี้คาดว่าลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ตามคาด
นายกันติพัฒน์ กล่าวว่า มุมมองเศรษฐกิจไทย TISCO ESU คาดการณ์ GDP ปี 2568 เติบโต 3% จากปีนี้คาดจะขยายตัว 2.8% ส่วนเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.2% และดอกเบี้ยนโยบายน่าจะปรับลดลง 1 ครั้ง เหลือ 2.00% และค่าเงินบาทคาดไว้ที่ 33.8 บาท/ดอลลาร์ ภาพปีหน้ามองการลงทุนภาครัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการส่งออกขยายตัว และก่อนทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีน อาจเห็นส่งออกจีนเร่งตัวขึ้นก่อน ส่วนการท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 40 ล้านคน
“กำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/67 ออกมาไม่ค่อยดีนักจึงเห็นการหั่นประมาณการลง พี/อีเทรด 14 เท่า หากค่าเงินดอลลาร์ยังแข็ง ฟันด์โฟลว์อาจยังไหลออก มองกองทุนวายุภักษ์ทยอยเข้าลงทุนหุ้นไทยต่อเนื่องแล้ว ก่อนเม็ดเงินจากกองทุนภาษีเข้าช่วงปลายปี และมองเป้าหมายดัชนี SET ปีหน้าอยู่ที่ 1,550 จุด กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้นคัดเลือกหุ้นรายตัว”นายกันติพัฒน์ กล่าว
บลจ.ทิสโก้ แนะนำ 6 กองทุนเด่นในปี 2568 สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลาง แนะนำกองทุนผสม ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนจัดพอร์ตลงทุนให้ ได้แก่ กองทุน TGINC-A กระจายลงทุนในตราสารหนี้ หุ้นและ REIT ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนรับความเสี่ยงระดับปานกลาง เน้นกระจายการลงทุนใน 3 สินทรัพย์ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยและปันผลสม่ำเสมอ มีสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้โลก 50% ตราสารทุนทั่วโลก 30% และ REITs โลก 20%
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้นแนะนำกองทุนหุ้นทั่วโลก ได้แก่ TNEXTGEN-A ธีมลงทุนเน้นกลุ่มได้ประโยชน์จาก Trump 2.0 เหมาะสำหรับนักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูง เน้นลงทุนหุ้นทั่วโลก 100% โอกาสลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะมาปฏิวัติหรือพลิกโฉมเทค
กองทุน TISCOAI ธีมหุ้นกลุ่มเทคโนโลย+AI ,กองทุน TGQUALITY-A ธีมหุ้นโลกคุณภาพดี (Quality) เน้นลงทุนหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง กระจายการลงทุนไปหลากหลาย sector เช่น Infomation Tech, Industrial, Health Care เป็นต้น เหมาะกับการลงทุนเป็น Core Portfolio เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีระยะยาวและกองทุน TEMxCH ธีมกลุ่มหุ้นตลาดเกิดใหม่ยกเว้นจีน
ส่วนกองทุนหุ้นไทย เน้นการคัดเลือกหุ้นที่โดดเด่นในแต่ละอุตสาหกรรม ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคาเหมาะสม แนะนำกองทุน TSF-A เน้นหุ้นที่ผลการดำเนินงานโดดเด่นลงทุนไม่เกิน 15 ตัว
———————————————————————————————————————————————————–