TATG รายได้ 9 เดือน 2,040 ลบ. เดินหน้าลงทุนเครื่องจักรใหม่

HoonSmart.com>>บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) เผยผลงาน 9 เดือนของปี 67 TATG กวาดรายได้รวม 2,040 ลบ. กำไรสุทธิ 52 ลบ. พร้อมเดินหน้าลงทุนเครื่องจักรใหม่ตามแผน รับอุตสาหกรรมยานยนต์ทยอยฟื้นตัว   คาดการณ์ภาพรวม TATG ปี 67 มีการปรับตัวตามทิศทางของอุตสาหกรรม

ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย  (TATG) หรือ  ผู้ออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,040.37 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการผลิตฝาครอบหม้อลมเบรครถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 85.84 ล้านบาท คิดเป็น 62.22% โดยมาจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการมี Model รถยนต์ออกใหม่ ทำให้มีความต้องการฝาครอบหม้อลมเบรคสูงขึ้น ส่งผลให้มีรายได้จากการบริการที่เพิ่มขึ้น 86.82 ล้านบาท คิดเป็น 61.85% จากการที่กลุ่มลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์เริ่มออก Model รถยนต์ใหม่ และมีกำไรสุทธิ 52.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1.59 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขาย ต้นทุนการขาย และบริการได้ดีกว่าปีก่อน

ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ซื้อรถยนต์มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงการเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้ผลิตยานยนต์ยังเน้นตั้งรับ เพื่อรอประเมินสถานการณ์และการตอบรับการขยายตัวยานยนต์ไฟฟ้าทั้งภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ ทำให้มีการคาดการณ์ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศ ปี 2567 อยู่ที่ราว 550,000 คัน ซึ่งต่ำกว่ายอดการผลิตในปี 2566 ที่ 685,628 คัน ขณะที่การผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกในปี 2567 คาดการณ์ไว้ที่ 1,150,000 คัน จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1,156,035 คัน

“เนื่องจาก TATG มีจุดเด่น ด้านการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตเครื่องมือในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เริ่มต้นตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และเป็น One Stop Service เข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงทำให้มั่นใจในศักยภาพของบริษัทฯ ถึงแม้ว่าสภาวะอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัว ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในเป้าหมายการดำเนินธุรกิจควบคู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี และการให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และความสามารถในการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.พยุง กล่าวทิ้งท้าย