เจ.พี.มอร์แกนมั่นใจหุ้นไทย Q4 นโยบายรัฐลดกระแสเงินไหลออก

HoonSmart.com>>เจ.พี.มอร์แกน มั่นใจหุ้นไทยไตรมาส 4 ดีขึ้น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ช่วยลดแรงต้านหรือลดกระแสการไหลออกของเงินลงทุนได้ หุ้นTop picks: CPALL ปตท.สผ. TOP,ADVANC,CPN,CRC,BH BDMS,KBANK,KTB และ AOT ฟันธงจีดีพีไทยปี 67 โต 3.1%

เจ.พี.มอร์แกน ได้ออกบทวิจัยเรื่องกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2566 ว่า ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ จะเป็นช่วยลดแรงต้านหรือลดกระแส(headwind) การไหลออกของเงินลงทุน ที่ผ่านมาค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง การท่องเที่ยวตกต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง (-10% ในรอบ 6 เดือน)

อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานแกร่ง (defensive sector ) ช่วยให้กองทุนในประเทศไทยสามารถรักษาเงินกองทุนและเอาชนะตลาดในช่วง 1-3 เดือนทีผ่านมาไว้ได้

คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/2553 แรงต้านหรือกระแสกดดันทางเศรษฐกิจ (headwinds) ในตลาดหุ้นไทยและตลาดเกิดใหม่( EM) มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูงอย่างต่อเนื่อง กำลังการผลิตน้ำมันที่ตกต่ำ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้น และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถผ่านแรงต้านดังกล่าวได้ เนื่องจาก (1) ภาวะเศรษฐกิจมหภาคของจีนมีเสถียรภาพ (2) การกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และ (3) การปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องของดุลบัญชีเดินสะพัดตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ และพลังงานทางเลือก เป็นปัจจัยหนุนให้กลุ่มพลังงานมีการปรับตัวดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าการกลั่นที่สูงขึ้น
หุ้นTop picks: CPALL,PTTEP,TOP,ADVANC,CPN,CRC,BH,BDMS,KBANK,KTB และ AOT

กองทุนในประเทศสามารถเอาชนะตลาดได้ในช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา
ผู้จัดการกองทุนในประเทศไทยปรับลดการจัดสรรเงินสดลงเหลือ 9.3% ในเดือสิงหาคม อย่างไรก็ตาม ยังคงชอบกลุ่มธุรกิจ Defense Sector โดยมีการถือครองเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่ม Healthcare (+1.9% ppt) แม้ว่าจะยังมีไม่มาก (9 กองทุนจาก ที่มีการติดตามทั้งหมด 78 กองทุน) และมีการลดการถือครองการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (-0.4%pt) และกลุ่ม สื่อสาร/โทรคมนาคม (-0.2%pt)

สำหรับการลงทุนในหุ้นรายตัว กองทุนในประเทศยังลดสัดส่วนการถือครองหุ้น BBL, CPALL, GULF และ WHA และถือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในหุ้น SCB และ JMT

กลุ่มที่มีผลจากการดำเนินงานดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เป็นธุรกิจ defensive อย่างอาหารและเครื่องดื่ม(F&B), สื่อสาร/โทรคมนาคม(ICT/Telco), การดูแลสุขภาพและการขนส่ง

การไหลออกของต่างชาติยังคงดำเนินต่อไป
นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 616 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนก.ย. ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ทำให้เงินยังไหลออกท่ามกลางการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯ โดยเดือนส.ค.มีเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร แต่พอเดือนก.ย. มีการขายหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทย รวมถึงมีการขายหุ้น DELTA, AOT, BTS และ CRC ออกมาอย่างหนัก

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในระยะสั้น
ทีมเศรษฐกิจของเจ.พี. มอร์แกนได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP จีน ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เป็น 5.3% qoq และ 4.9% qoq (จาก 4.1%/4.5% ก่อนหน้านี้) ข้อมูลการบริโภคในช่วงวันหยุดยาวของชาวจีน (golden week ) แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินของจีนไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย

การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ในช่วงกลางเดือนส.ค. ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เช่นการยกเว้นวีซ่าชั่วคราวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนได้กระตุ้นให้การเดินทางของจีนเข้าสู่ประเทศไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

การบินไทยรายงานว่า การจองไฟลท์การเดินทางจากจีนสูงถึง 90% ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยการสนับสนุนทางการเงินจะทำให้การใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโตเพิ่มขึ้น
คาดว่าการเติบโตในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ 2567 จะได้รับแรงหนุนจากโครงการกระเป๋าเงินดิจิตอลที่มีจำนวนเงินมหาศาล (5.6 หมื่นล้านบาท หรือ 3% ของ GDP) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคและยอดขายของ SMEs ในวงกว้าง ภายใต้โครงการ “use it or lost it” โดยให้ใช้เฉพาะในร้านสะดวกซื้อภายในระยะ 4 กม. เท่านั้น

แม้ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.5-2% ทางทีมเศรษฐศาสตร์ JPM คาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2567 ที่แท้จริง จะอยู่ที่ 3.1% เมื่อเทียบกับตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่คาดว่าจีดีพีปี 2567 จะโต 4.4% สูงกว่าการเติบโตของ GDP โลกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561