TU ตั้งเป้าผู้นำ “อาหารทะเล” โลกปี’73 วาง 3 กลยุทธ์ 2 โครงการปั้นกำไรโต 100%

HoonSmart.com>> ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ประกาศขึ้นผู้นำโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล ปี’73 เปิดตัว “3 กลยุทธ์ 2 โครงการ ขับเคลื่อนธุรกิจ 3 ทวีป อีก 6 ปี ยอดขายต้องถึง 2.45 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.14% กำไรโต 100%

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า ปี 2573 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า ตั้งเป้ายอดขาย 2.45 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.14% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะมียอดขาย 1.36 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย(CAGR) ปีละ 10% เป็น CAGR จากส่วนธุรกิจเดิมโตปีละ 7%

ด้าน กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 28,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะทำได้ 14,000 ล้านบาท

สำหรับ กลยุทธ์ หรือ โร้ดแม็ปใหม่เพื่อสร้างการเติบโต หรือ การทรานส์ฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่ให้ได้ตามเป้าปี 2573 ครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญเพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ กำไรขั้นต้น และ EBITDA โดยการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่ง 3 แกนหลักนี้ ประกอบด้วย

1.เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก: ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ ๆ

2.สร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต: มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และอินกรีเดียนท์ ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

3.การเปิดน่านน้ำใหม่: มุ่งเน้นการแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทฯมีธุรกิจในสหรัฐอเมริกา ทำรายได้ประมาณ 30% ของรายได้รวม การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ หากมีการลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 21% เหลือ 15% และถ้าขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 60%ตามที่หาเสียงไว้ก็จะส่งผลบวกต่อบริษัท แต่ถ้าขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศเท่ากันหมด ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อบริษัท

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีศักยภาพในการแข่งขันอยู่แล้ว เพราะการทรานส์ฟอร์มครั้งนี้ เป็นการทำในช่วงที่มีความแข็งแรง หนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.79% ยังมีรูมในการที่จะขยายการลงทุนได้อีกมาก และที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถปรับตัวได้ทันกับโลกที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไปจนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกความท้าทายนำมาซึ่งโอกาส การเติบโตในโลกยุคใหม่ และสามารถก้าวพ้นกระแสแห่งความผันผวนนี้ สามารถสร้างโอกาสให้กับตัวเอง

“ในปี 2573 นอกจะมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นแล้ว เราตั้งเป้าที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ของไทยยูเนี่ยน”นายธีรพงศ์ กล่าว

เดินหน้าควบรวมกิจการ

นายพอล เฮอร์โฮลซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และทรานส์ฟอร์เมชั่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสู่ความสำเร็จในอีก 6 ปีข้างหน้า นอกจากจะเติบโตด้วยตัวเองจากธุรกิจเก่า และสร้างธุรกิจใหม่ จะทำการควบรวมกิจการด้วย โดยจะมองหาโอกาสใหม่ ที่เอื้อต่อการเติบโต

ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก ต้องวางรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยการลดต้นทุนในการดำเนินงาน
การปรับโครงสร้างองค์กรและพัฒนาบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายการผลิตและการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์ ยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัล การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม และการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันจากความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนผ่าน 2 โครงการทรานส์ฟอร์เมชั่น

1.โครงการโซนาร์ (Project Sonar) ซึ่งเป็นโครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นของกลุ่มบริษัท มุ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว และโปรเจกต์เทลวินด์ (Project Tailwind) ซึ่งมุ่งเน้นที่การเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก ทั้งสองโปรเจกต์จะดำเนินการควบคู่ และสอดคล้องกันเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 และส่งเสริมการรวมแผนงานเป็นหนึ่งเดียวกันในอนาคต

“โครงการนี้จะลดต้นทุนได้ตั้งแต่ ปี 2569 ปีละ  2,625 ล้านบาท เงินที่ประหยัดได้นี้ ประมาณ 40% จะถูกนำกลับมาลงทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจต่อไป หลักๆ คือ จะทำระบบจัดซื้อจัดจ้างพวกบรรจุภัณฑ์ หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่วัตุดิบอาหาร ให้เป็นแบบเดียวกันทั่วโลก ทั้งในเอเชีย สหรัฐอเมริกา และยุโรป นำระบบดิจิทัลมาใช้ ซึ่งส่วนนี้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นมากพอสมควร”นายพอล กล่าว

นายพอล กล่าวว่า 2.โครงการเทลวินด์ (Tailwind) เป็นแผนการทรานส์ฟอร์มเมชั่น ของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่จะมีการเร่งการเติบโตของบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (i-Tail) จะมุ่งสร้างการเติบโตจากการควบรวมกิจการ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้อยู่ที่ประมาณ 52,500 ล้านบาท ภายในปี 2573 และนับจากปี 2570 เป็นต้นไปจะเพิ่มกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) เป็นราวๆ 1,750 ล้านบาทต่อปี กุญแจสำเร็จ คือ ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อตลาด รู้ลึก รู้จริงถึงความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อและกระบวนการผลิต

“เราได้เริ่มแผนของเราแล้ว เช่น การจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ การเพิ่มการลงทุนด้านการส่งเสริมการตลาดเพื่อคงความเป็นผู้นำแบรนด์อาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลกหลากหลายแบรนด์ของกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านการผลิต การขยายทีมและยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลของกลุ่มบริษัททั่วโลก เป็นต้น”นายพอล กล่าว