IPO ถอย หุ้นดิ่งลึกเฉียด 3 ปี บาทหลุด 37 ต่างชาติทิ้งไทย

HoonSmart.com>>ไทยมืดมนเจอศึกในศึกนอก หุ้นดิ่งหลุด 1,450 ปิดต่ำสุด 2 ปี 9 เดือน ตามหลังฮ่องกงดิ่งกว่า 2% ญี่ปุ่น-1.64% และฟอสเซลซ้ำคาดไหลไม่หยุด ส่วนเงินบาทอ่อนทะลุ 37 บาท ร่วงเร็วและแรง 6.75% ตั้งแต่ต้นปี 66 ต่างชาติกระหน่ำทิ้งหุ้นมากกว่า 4 พันล้านบาท นายกฯ และรมว.คลังยันไม่แทรกแซง เดินหน้า “ดิจิทัล วอลเล็ต” ตั้งบอร์ด นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรกสัปดาห์นี้ ด้านธปท.พร้อมเข้าดูแลค่าเงินหากผิดปกติมาก ส่วนหุ้นน้องใหม่ โยนผ้า ชะลอขายหุ้น IPO จากเดิมคาดจะแห่เข้าในปีนี้มากกว่า 100 บริษัท ยอดล่าสุด 27 บริษัท JPARK สุดยอดวันแรก แจกกำไร 22.63%

วันที่ 3 ต.ค.2566 ตลาดหุ้นไทยดำดิ่งตามต่างประเทศ ดัชนีไหลลงอย่างรวดเร็ว ปิดที่ระดับ 1,447.30 จุด ทรุดลง 22.16 จุด หรือ -1.51% มูลค่าซื้อขาย 60,384.79 ล้านบาท ฝีมือนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 4,440.48 ล้านบาท  ขายอนุพันธ์อีก 12, 768  สัญญา แลกมัดนักลงทุนไทยช้อนหุ้น 4,443.26 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 347.99 ล้านบาท ส่วนค่าเงินบาทอ่อนหลุด 37 ตามคาด ปิดที่ 37.02/08 เคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาค

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเอเชีย นำโดยฮ่องกงดิ่งมากที่สุด -2.69% ตามด้วย ญี่ปุ่น -1.64% และไทย -1.51% ปิดที่ 1,450 ต่ำสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือน และค่าเงินบาทอ่อนอย่างเร็ว หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี (บอนด์ยีลด์) พุ่งขึ้น เร่งเงินไหลออกไปลงทุนที่สหรัฐแทน โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดจะยังคงขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจจีนออกมาไม่ค่อยดี  เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า และยังไม่เห็นนโยบายทางการเงินการคลังที่คืบหน้า สร้างแรงกดดันต่อเงินบาทต่อไป

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า หุ้นวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย จากความกังวลดอกเบี้ยของเฟด หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดี ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าในรอบ 10 เดือน ตลาดเอเชียถูกขายจากความกังวลเรื่องค่าเงิน ทำให้มีเงินไหลออกโยกกลับไปเข้าสหรัฐแทน เพราะไม่ต้องเสี่ยงเรื่องค่าเงิน และผลตอบแทนสูง

ทั้งนี้ เงินบาทไม่ค่อยมีเสถียรภาพ อ่อนค่ามาก จากระดับ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ไหลลงทะลุ 37 บาท แม้จะดีต่อกลุ่มส่งออก แต่มองปีนี้เศรษฐกิจยังไม่ดี ดังนั้นกำไรของบจ.ก็จะยังไม่ดีด้วย ทำให้คนยังไม่ค่อยกล้าเข้ามาลงทุนหุ้น  มองมีโอกาสที่จะปรับลงได้เรื่อย ๆ แต่อาจเป็นลักษณะปรับลงสลับรีบาวด์

“ตอนนี้ดัชนีฯลงมาสู่จุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือนหลังหลุด 1,461 จุด จากจุดต่ำสุดที่ 1,425 จุดเมื่อวันที่ 4 ม.ค.2564 และมีโอกาสที่จะลงได้เรื่อย ๆ วันนี้ดัชนีฯลงขนาดนี้ย่อมต้องมีฟอสเซล (ถูกบังคับขาย) ร่วมด้วย”

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (4 ต.ค.) ตลาดคงจะปรับต้วลงสลับรีบาวด์ โดยมีแนวรับ 1,433-1,432 จุด แนวต้าน 1,455-1,460 จุด

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนค่าว่า ต้องเฝ้าระวัง แต่คงจะไม่เข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซง ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด แต่เงินบาทอ่อนไม่ได้มีผลเสียทั้งหมด เพราะการส่งออกและการท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์เชิงบวก ซึ่งการส่งออกมีส่วนใน GDP ของประเทศถึงกว่า 50% และการท่องเที่ยวอยู่ที่ 20% จะต้องดูให้มีความเหมาะสม ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลและติดตามเรื่องนี้อยู่

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต นายกฯกล่าวว่า  เมื่อวานนี้ (2 ต.ค.)ได้มีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทย เศรษกิจโลกว่าจะมีผลกระทบหรือไม่ ในการพูดคุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้หารือถึงแผนระยะกลางและระยะยาวว่า ถ้าเสนอนโยบายออกไปแล้วควรจะเป็นอย่างไร ทั้งเครดิตเรทติ้ง ประชาชน และนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งผู้ว่า ธปท.ได้ให้คำแนะนำและไกด์ไลน์มาว่ารัฐบาลควรทำอย่างไร รัฐบาลก็น้อมรับ รวมถึง รมช.คลังและปลัดกระทรวงการคลังก็จะนำสิ่งที่ได้พูดคุยกับ ธปท.ไปพิจารณา

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต รวม 28 คน ซึ่งเปรียบเมือน ครม.ชุดย่อย โดยมีนายกฯและ รมว.คลังเป็นประธาน เพื่อพิจารณาแนวนโยบาย กรอบวงเงิน ที่มางบประมาณ กลไกดำเนินงาน

ด้านนายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน  ธปท. กล่าวว่า เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น และอ่อนค่าผ่านระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ คิดเป็นอ่อนค่าลง 6.75% จากต้นปี สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จากความเป็นไปได้ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยไว้นานกว่าที่คาด  แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ซึ่งตลาดมองว่าอาจกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ประกอบกับ นักลงทุนยังรอความชัดเจนของนโยบายการคลังและการระดมทุนของภาครัฐ

“ธปท. ได้ติดตามค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาเข้าดูแลหากเคลื่อนไหวผันผวนมากผิดปกติเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจ  ภาคเอกชนควรบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน”นายสักกะภพกล่าว

สำหรับภาวะตลาดหุ้นที่เลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้น ดัชนีทรุดลงวันละ 20 จุด หรือมากกว่า 1% ทำให้บริษัทที่เตรียมตัวจะเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) ในปี 2566 ชะลอหรือถอดใจ เลื่อนเข้าจดทะเบียนในปี 2567  หลังจากสำรวจความต้องการซื้อหุ้นเบื้องต้น คงจะต้องลดราคามากเป็นพิเศษ จึงยังไม่จำเป็นต้องรีบขายในปีนี้ กระทบต่อเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะมีหุ้นน้องใหม่ทั้งใน SET และ mai   ไม่น้อยกว่า 100 บริษัท และเมื่อเร็วๆนี้ ตลาดหลักทรัพย์และชมรมวาณิชธนกิจได้มีการประชุมในต่างจังหวัด คาดว่ากรณีดีที่สุด จะมีหุ้นใหม่ประมาณ 50-60 บริษัท ทั้งนี้ยอดล่าสุดมีจำนวน 27 บริษัท โดยหุ้น JPARK เข้าซื้อขายใน mai  วันนี้ (3 ต.ค.) สอบผ่านด้วยคะแนนดี  แจกกำไรให้แก่ผู้จองซื้อถึง 22.63%