HoonSmart.com>> “ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น” (ITC) เปิดกำไรไตรมาส 3/67 โตแตะ 976 ล้านบาท พุ่งขึ้น 51.5% กวาดรายได้ 4,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% รับความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป สัดส่วนขายสินค้าพรีเมี่ยมสูงขึ้น หนุนงวด 9 เดือน กำไร 2,807 ล้านบาท ทะยาน 85.3%
บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 976.22 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.33 บาท เพิ่มขึ้น 51.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 644.52 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.21 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2567 กำไรสุทธิ 2,806.81 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.94 บาท เพิ่มขึ้น 85.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,514.55 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.50 บาท
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิโตรมาส 3 ปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง สาเหตุหลักจากรายได้จากการขาย 4,435.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาและยุโรป สัดส่วนการขายสินค้าพรีเมี่ยมที่สูงขึ้น รวมไปถึงกลยุทธ์การปรับราคาของบริษัทฯ ขณะที่รายได้จากการขายลดลงเล็กน้อย 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากการบายที่ลดลงในทวีปอเมริกาและยโรปเนื่องจากปัญหาพื้นที่เรือขาดแคลนและการบริหารตู้ขนส่งของลูกค้า หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนรายได้จากการขายจะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน
นอกจากนี้มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ์ในโตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 22.0% สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ 16.1% ในโตรมาส 3 ปี 2566 อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2567 ลดลงเล็กน้อย 3.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้จากการขายที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้นและการลดลงของรายได้อื่น โดยถูกหักหักลบบางส่วนจากการลดลงของผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ 22.1%
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) กล่าวว่า “จากผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2567 ไอ-เทล มีความมุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือสำหรับกลุ่มลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของโลกและ private label ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการนำเสนอและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคและตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก รวมถึงการดำเนินงานที่เข้มแข็งและกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อคว้าโอกาสจากการเติบโตของเทรนด์การดูแลโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง”
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ไอ-เทล มีรายได้จากการขายที่ 13,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 87% อยู่ที่ 3,723 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 129.9% ซึ่งเป็นผลจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสัดส่วนของยอดขายในสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 50% ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยเอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 34% และยุโรปที่ 16%ต์ โดยแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 72% อาหารสุนัข 17% และขนมของสัตว์เลี้ยง 11% รวมถึงบริษัทฯ ยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง 890 รายการ เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค
“นอกจากนี้ ไอ-เทล ยังเดินหน้าการพัฒนาโครงการต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือกับลูกค้ารายสำคัญอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและเป้าหมายที่วางไว้ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่ม functional ที่กำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพื่อการดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาว อีกทั้ง กลุ่มสินค้า private label ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับไอ-เทล เช่นกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงออกสู่ช่องทางการจำหน่ายและกลุ่มตลาดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น” นายพิชิตชัย กล่าว
จากการให้ความสำคัญกับการพัฒนาความยั่งยืน ล่าสุด ไอ-เทลได้รับรางวัล “อุตสาหกรรมสีเขียว ระดับ 4” ประจำปี 2567 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงความตั้งใจของบริษัทฯ ในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม สอดคล้องกับกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ตลอดจนการผลักดันการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยรอบพื้นที่โรงงานผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ อีกด้วย
“ไอ-เทล มีความตั้งใจที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงและโภชนาการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ซึ่งถือเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจและมีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเรามีความพร้อมและศักยภาพทั้งจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ บุคลากรที่เปี่ยมด้วยความสามารถและสินค้าคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง อีกทั้ง การขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและพันธมิตรผ่านการดำเนินงานที่ยั่งยืนในทุกมิติ” นายพิชิตชัย กล่าว