HoonSmart.com>>หุ้นไทยซึมลง มูลค่าซื้อขายเพียง 28,397 ล้านบาท/วัน ดัชนีไหลลงต่อ 1.22 จุด รอข่าวดีจากเฟด-เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ‘พิชัย’ รองนายกฯและรมว.คลัง ยอมรับไทยหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้าไม่พ้น จะได้ผลดี หากปรับตัวเก่ง มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสั้น-กลาง-ยาว บล.ซีจีเอสคาด”ทรัมป์”ชนะดีต่อ AMATA หาก”แฮร์ริส” ชนะ หนุนหุ้น Domestic play เชียร์ CRC, MOSHI, SIRI, BBL,KBANK
ตลาดหุ้นวันที่ 4 พ.ย. 2567 ดัชนีหุ้นไทยปิดลดลง 1.22 จุด ที่ระดับ 1,462.95 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 28,397.32 ล้านบาท แม้มีหุ้น DELTA นำตลาด ราคาปิดที่ 39.50 บาท บวก 1.09% มูลค่าการซื้อขาย 1,618.53 ล้านบาทก็ตาม ขณะที่นักลงทุนแต่ละกลุ่มต่างชะลอการลงทุน ต่างชาติซื้อเพียง 24.99 ล้านบาท กองทุนไทยซื้อ 21 ล้านบาท ส่วนรายย่อยไทยขาย 33 ล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่า ไม่ว่าผู้ชนะ จะเป็น “นายโดนัลด์ ทรัมป์” หรือ “นางคามาลา แฮร์ริส” เชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อไทยทั้งนั้น เพราะนโยบายของทั้งคู่จะยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศมากขึ้น แต่ความหนัก และความแรง อาจจะไม่เท่ากัน ท่ามกลางปัญหาสงครามการค้า (Trade War) ที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ประเทศไทยจะต้องพิจารณาภาพรวมและปรับตัวให้ดี หากทำได้ดี ก็จะได้รับประโยชน์
ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ที่ผ่านมาบางช่วงอาจจะแข็งค่ากว่าคู่แข่ง และบางช่วงก็อาจจะอ่อนค่ากว่า อยากให้มองยาวขึ้น เพราะจริง ๆ เรื่องเงินบาทจะแข็งหรืออ่อนค่า มี 2 ประเด็นสำคัญ คือ ถ้าอ่อนค่าก็ต้องไม่น้อยกว่าคู่แข่ง เพราะเป็นประเทศส่งออกเหมือนกัน และ 2. ไม่ใช่แค่ค่าเงินบาทที่มีผลต่อดอลลาร์ แต่เป็นเหมือนกันทุกประเทศ ดังนั้นเวลาค่าเงินต่างกัน ก็มีโอกาสที่จะเห็นเงินลงทุนไหลกลับประเทศเขา หรืออาจจะมาที่ประเทศไทย แต่วันนี้ไทยมีทั้งสภาพคล่อง มีทุนสำรองเพียงพอ ดังนั้นปัญหาคงไม่มากแต่ส่วนที่อยากเห็น คือ ความสามารถในการส่งออกมากกว่า
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% นั้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 30% ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาจจะเน้นระยะสั้นเป็นหลัก เพื่อให้คนที่มีปัญหายังสามารถอยู่รอดได้ ส่วนมาตรการระยะปานกลาง และระยะยาวนั้น ก็ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย เช่น รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการเร่งลงทุนของภาครัฐ เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
นายพิชัยกล่าวกรณีการเลื่อนการคัดเลือกประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากวันนี้ (4 พ.ย.) ออกไป เป็นวันที่ 11 พ.ย. 2567 เพราะมีกระแสข่าวว่า จะมีการเปลี่ยนรายชื่อผู้ที่คาดหมายว่าจะได้รับการคัดเลือก จาก “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” เป็น “นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์” อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่า โดยส่วนตัวไม่ทราบรายละเอียด
ด้านแนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ เชื่อว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง คาดว่าจะมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลออกจากจีนมาไทยมากขึ้น ส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม หุ้น Top pick คือ AMATA แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 33 บาท เพราะนโยบายให้เรียกเก็บภาษีใหม่ในอัตรา 10-20% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากต่างประเทศและให้เก็บภาษีจากสินค้าจากจีนสูงถึง 60%
นอกจากนี้ การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Yield) เพิ่มสูงขึ้น น่าจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นผลดีกับกลุ่มผู้ส่งออก เช่นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหาร หุ้น Top pick คือ HANA แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 44 บาท
ขณะเดียวกัน เชื่อว่ามุมมองของนักลงทุนต่อตลาดเกิดใหม่น่าจะมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น จึงน่าจะช่วยหุ้นในกลุ่มปลอดภัย เช่น กลุ่มการแพทย์ปรับตัวดีขึ้น หุ้น Top pick ได้แก่ BCH แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 19.70 บาท อย่างไรก็ตามนายทรัมป์น่าจะให้ความสำคัญกับเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมมากกว่าพลังงานหมุนเวียน จึงมองว่าในกรณีที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ราคาน้ำมันและก๊าซ รวมถึงกลุ่มโรงกลั่นอาจได้รับผลกระทบ
ในทางกลับกันหากนาง กมลา แฮร์ริส ชนะ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองเชิงบวกมากกว่ากรณีที่นายทรัมป์เป็นผู้ชนะ ดังนั้น หุ้น Domestic play ที่เน้นธุรกิจในประเทศอย่างกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค, กลุ่มอสังหาริมทรัพฯ และกลุ่มธนาคารน่าจะ outperform หุ้นปลอดภัย นอกจากนี้ ยังคาดว่าเงินทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน โดยแนะนำซื้อ ได้แก่ CRC ราคาเป้าหมาย 42 บาท, MOSHI ราคาเป้าหมาย 54.75 บาท, SIRI ราคาเป้าหมาย 2.10 บาท, BBL ราคาเป้าหมาย 195 บาท และ KBANK ราคาเป้าหมาย 188 บาท
สำหรับกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไตรมาส 3/67 จะลดลง เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนตัวจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่ Bloomberg consensus คาดว่ากำไรของตลาดหุ้นไทยจะลดลง 23% yoy และ 15% qoq ในไตรมาส 3/67
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากองทุนรวมวายุภักษ์ และกองทุน Thai ESG จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 1,630 จุด เท่ากับ P/E 16 เท่าในปี 68 หรือ -0.75SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยมีหุ้น Top pick คือ AMATA, BBL, BCH, CBG, CPN, CRC, KBANK, KLINIQ, MOSHI, PTTEP และ SIRI