SCB ดิ่ง เจพีฯหั่นราคา 98 บาท กังวล”ยานแม่” บินขึ้นไม่ไหว

HoonSmart.com>>”เอสซีบี เอกซ์” (SCB) ถูกถล่มยับเยิน หุ้นดิ่งต่ำสุด 100 บาท  ตกใจบล.เจพีมอร์แกนสั่งขาย ลดราคาเป้าหมายเหลือ 98 บาท หั่นประมาณกำไรต่อหุ้นปี 66-67 ลง 9%/4% ปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 39,860  ล้านบาท ต่ำกว่าตลาดคาด 8.2% มองเห็นความเสี่ยงเติบโต จากต้นทุนเงินสูงกว่าที่บริษัทคาด ลูกๆอ่อนแอ โดยเฉพาะ CardX ดำเนินงานผิดพลาด ตั้งสำรองพุ่ง 201%  เกิดคำถามถึงความสามารถในการปรับขนาดธุรกิจใหม่ เปลี่ยนธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล  ด้าน 16 นักวิเคราะห์ไทยยังคงแนะ “ซื้อ” ให้เป้าเฉลี่ย 130.72 บาท สูงสุด 145 บาท ต่ำสุด 106.50 บาท

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ถูกเทกระจาด  ราคาหุ้นดิ่งลงแรง ต่ำที่สุดแตะ 100 บาท ก่อนฟื้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 103.50 บาท ร่วงลง 5 บาทหรือ -4.61% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 8,681.22 ล้านบาท และมีการซื้อบิ๊กล็อตจำนวน 3.35 ล้านหุ้น มูลค่า 346.73 ล้านบาท ในราคาเฉลี่ย 103.50 บาท สำหรับการซื้อขายวันที่ 22 ก.ย.2566  หลังจากตกใจกรณี บล.เจพี มอร์แกน สถาบันการเงินสหรัฐยักษ์ใหญ่ของโลก ปรับลดราคาเป้าหมายลงพรวดเดียวเหลือ 98 บาท ทำให้นักลงทุนตื่นตกใจเทขายหุ้นออกมาจำนวนมาก

บทวิเคราะห์ของ บล.เจพี มอร์แกน ฉบับลงวันที่ 21 ก.ย. 2566 ได้ปรับลดน้ำหนักหุ้น SCB ลงเป็น (Underweight) จากเดิมให้เท่ากับตลาด ( Neutral) และปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ  98  บาท จากระดับ 110 บาท เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา

สาเหตุในการปรับลดน้ำหนักและราคาเป้าหมายลง เนื่องจากมองว่าการเติบโตมีความเสี่ยง ปัจจัยด้านต้นทุนทางการเงิน หรือ credit cost สำหรับทั้งปีใกล้เคียงกับช่วงครึ่งแรกของปี (184 bps)คาดว่าจะสูงกว่าที่ธนาคารได้ให้ข้อมูลแก่นักวิเคราะห์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 120-140bp ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปริมาณการออกหุ้นของ CardX และการชะลอตัวของ AutoX ยังชี้ให้เห็นว่าขนาดของหุ้นประเภท Premium Multiple อาจถูกท้าทายในระยะใกล้

ทั้งนี้ เจพี มอร์แกน ประมาณการว่า SCB จะมีกำไรสุทธิปี 2566 จำนวน  39,860  ล้านบาท ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ที่ 43,425  ล้านบาท ประมาณ  8.2% ส่วนปี 2567 คาดจะมีกำไรสุทธิ 46,432  ล้านบาท  เทียบกับตลาดคาดการณ์ที่ 46,785 ล้านบาท ต่ำกว่า 0.8%

“เราปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นของปี 2566/2567 ลดลง 9%/4% จากต้นทุนสินเชื่อที่สูงขึ้น ราคาหุ้นซื้อขายที่ระดับพรีเมี่ยม 25% เมื่อเทียบกับ P/BV (ใกล้ YTD สูงสุด) เทียบกับ P/E ด้วยเหตุผล 2 ประการ เนื่องจาก SCBx เป็นธนาคารแรกที่ปรับโครงสร้าง จำแนก จัดสรร และตัดหนี้ที่มีปัญหาออกไปตั้งแต่ 2564-2565   และ (2) การเติบโตของสินเชื่อระยะยาวที่ดีขึ้นเนื่องจากการลงทุนใน Gen2/Gen3 เหตุการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าระดับของความสงสัยในระยะใกล้ทั้งสองด้าน นำไปสู่การลดอันดับ”

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา CardX มีความผิดพลาดในการดำเนินงานอย่างมาก เกี่ยวกับความไม่ตรงกันในด้านต่างๆ บน Customer ID (ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ยอดคงเหลือของบัญชี ฯลฯ) เมื่อทำการอัปโหลดข้อมูลลงใน Cloud ซึ่งนำไปสู่ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเรียกเก็บหนี้และการชำระหนี้ ดังนั้นธนาคารจึงกันสำรอง 201% ในไตรมาส 2/2566 เทียบกับ 166%/125% ในไตรมาส 1/2566 และครึ่งหลังของปี 2565 ปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเต็มที่และคาดว่าจะยังคงเติบโตในอัตราที่ชะลอลงและการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นสำหรับช่วงที่เหลือของปี

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นสำหรับกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสามารถของธนาคารในการปรับขนาดธุรกิจใหม่และการเปลี่ยนแปลงธุรกิจที่มีอยู่ไปสู่เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิตอลที่ทันสมัยอย่างราบรื่น ความเสี่ยงมีอยู่ 2 สาเหตุ คือ (1) การตัดหนี้สูญจาก CardX ในไตรมาส 3 และ (2) ความอ่อนแอของสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเนื่องจาก SCBX มีธุรกิจขนาดใหญ่ การตั้งสำรอง Gen2 ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 1.110bps (ann) ซึ่งสูงกว่า ~600bps ธนาคารพิจารณาจากระดับปกติสำหรับกลุ่มนี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าของบัญชี ส่วนใหญ่ของการตั้งสำรองส่วนเกินถูกผลักดันจากการสูญเสียที่ CardX นอกจากนี้ การใช้จ่ายทางการคลังที่อ่อนตัวลงในระหว่างการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลยังส่งผลให้กระแสเงินสดของผู้กู้มีความตึงตัวมากขึ้น ปรากฏใน AutoX ด้วย ดังนั้นผู้บริหารจึงลดเป้าหมายการเติบโตลงเหลือ 30,000-35,000 ล้านบาทในปีนี้ (ณ วันที่ 23 มิ.ย.2566)

ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้น หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ส.ค. ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ (1) ธนาคารพาณิชย์ควรปรับเพิ่มอัตราผลตอบแทน CASA หากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย M-Rate, ลด NIM benefit, และ (2) ความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของยอดหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้น ความเสี่ยง-ผลตอบแทนยังต้องรอเวลา เมื่อกระแสเงินสดหมุนเวียนไปยังระดับล่างของเศรษฐกิจหรือธนาคารพาณิชย์ได้รับอนุญาตให้คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้ในระดับที่สอดคล้องกับการพิจารณาในเชิงพาณิชย์

ความเสี่ยงด้านอัพไซด์ที่สำคัญต่อการปรับลดอันดับเครดิต  ได้แก่  การแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของ CardX ที่รวดเร็วยิ่งขึ้นจะช่วยจำกัดผลขาดทุนและทำให้บริษัทย่อยกลับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่มี upside ในทางกลับกัน ความผิดพลาดในการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยอาจนำไปสู่คำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบฟินเทคของ  SCBx

เมื่อปี 2564  นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ กลายร่างเป็นยานแม่ SCBX  ของกลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ดำเนินธุรกิจในลักษณะของบริษัทลงทุน (Private Equity) เข้าถือหุ้นในบริษัทลูกๆ   เช่น CardX และ AutoX   เพื่อเร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ  ยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน (ฟินเทค)ระดับภูมิภาคภายในปี 2025 (2568)  โดยมีเป้าหมายสร้างฐานลูกค้า 200 ล้านคนพร้อมภารกิจเชื่อมต่อ ecosystem ทั้งในและต่างประเทศ  และส่งบริษัทลูกๆ เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยานแม่มีมาร์เก็ตแคป 1 ล้านล้านบาท  ล่าสุดวันที่ 22 ก.ย.2566 มีมาร์เก็ตแคป 348,495.60 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ที่มีจำนวน  360,280.48 ล้านบาท

ด้านนักวิเคราะห์ไทยจำนวน 16 ราย ส่วนใหญ่แนะนำ”ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 130.72 บาท ราคาสูงสุดถึง 145 บาท โดยบล.CGS-CIMB และบล.ทรีนีตี้ และต่ำสุดที่ 106.50 บาท ของบล.กสิกรไทย