HoonSmart.com>>หุ้น TOP ลบ 4.89% หลีกเลี่ยงลงทุนช่วงสั้นไปก่อน จากปัญหาข้อพิพาทระหว่างกลุ่ม UJV ผู้รับเหมาหลักโครงการ CFP ของ TOP กับผู้รับเหมาช่วงที่ไม่ได้รับค่าแรงตามงวดงาน ประเมินทางออกอาจทบทวนสัญญาใหม่ หรือปรับ Scope งานใหม่ ส่งโอกาสสูงที่โครงการจะเลื่อนผลิตเชิงพาณิชย์ออกไป อาจทำให้ผลตอบแทนของโครงการลดลงจากเดิมคาดอยู่ราว 12% ระยะเวลาคืนทุนอาจเพิ่มขึ้นจากเดิมจะคืนทุนภายใน 6 ปี
เมื่อเวลา 14.21 น.หุ้น TOP ลบ 4.89% มาที่ 43.75 บาท ลดลง 2.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 734.93 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 46 บาท ขึ้นสูงสุด 46 บาท และต่ำสุด 43.50 บาท
บล.เอเชีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า จากปัญหาข้อพิพาทระหว่างกลุ่มบริษัทกิจการร่วมค้า UJV ซึ่งประกอบด้วย Samsung, Petrofac และ Sipem ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด หรือ CFP ของ บริษัท ไทยออยล์ (TOP) กับกลุ่มผู้รับเหมาช่วงซึ่งไม่ได้รับค่าแรงตามงวดงาน จนนำไปสู่การหยุดงานประท้วง ส่งผลให้โครงการต้องหยุดชะงักนั้น ทางผู้บริหาร TOP อยู่ระหว่างหาแนวทางแก้ไข ซึ่งถึงปัจจุบันโครงการ CFP ก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 97% ของโครงการ และ TOP ได้ชำระเงินให้ UJV ไปแล้วราว 4.6 พันล้านเหรียญฯ หรือราว 86% ของต้นทุนโครงการที่ราว 5.4 พันล้านเหรียญฯ
ทั้งนี้ เนื่องจาก TOP ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับผู้รับเหมาช่วงโดดยตรง จึงไม่สามารถดำเนินการใดๆในสัญญาระหว่างผู้รับเหมาช่วง และ UJV ได้ รวมถึง UJV ยังได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้งไม่ให้ TOP เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสัญญาระหว่าง UJV กับผู้รับเหมาช่วงอีกด้วย อย่างไรก็ตามปัจจุบัน TOP รวมถึง PTT อยู่ระหว่างหาแนวทางแก้ไข ซึ่งจะนำเสนอความคืบหน้าต่อไป
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่าง TOP กับ UJV และการดำเนินการหาทางออกของทั้ง TOP และ UJV ซึ่งอาจมีการทบทวนสัญญาใหม่ หรือปรับ scope งานใหม่ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินงานก่อสร้างต่อไปได้ แต่อย่างไรก็ตามเบื้องต้นคาดโอกาสที่ต้นทุนการก่อสร้างโครงการ CFP จะเพิ่มขึ้น หรือโครงการจะเลื่อนการผลิตเชิงพาณิชย์ออกไปจากแผนเดิม มีอยู่สูง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นคือปัญหาเรื่องการเงิน ซึ่งหากจะผลักดันให้โครงการ CFP แล้วเสร็จ จะต้องมีการเจรจาด้านการเงิน และ TOP น่าจะเป็นผู้แบกรับภาระส่วนเพิ่ม
โครงการ CFP เป็นโครงการที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของโรงกลั่นด้วยการขยายกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4.0 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงเพิ่มความยืดหยุดในการรับน้ำมันดิบ ทำให้โรงกลั่นสามารถเพิ่มสัดส่วนการกลั่นน้ำมันหนัก (Heavy Crude) ได้มากขึ้นเป็น 40-50% และเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันเจ็ท และน้ำมันดีเซล ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า รวมถึงสามารถผลิตน้ำมันเบนซิน และดีเซลมาตรฐานยูโร 5 อีกด้วย
ดังนั้นจากปัญหาดังกล่าวอาจทำให้อัตราผลตอบแทนของโครงการลงทุนจะลดลงจากเดิมที่เคยคาดจะอยู่ราว 12% และมีระยะเวลาคืนทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมจะคืนทุนได้ภายใน 6 ปี ทั้งนี้คาดประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อราคาหุ้นจนกว่าจะมีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงสั้นไปก่อน แล้วค่อยสะสมรอบใหม่หลังจากมีข้อสรุปถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโครงการ CFP
———————————————————————————————————————————————