FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่น พ.ย. ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) เดือน พ.ย. 2561 ลดลง 7.23% ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ลงมาอยู่ในภาวะทรงตัว (Neutral) กังวลผลกระทบนโยบายทางการเงินสหรัฐฯ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ยืดเยื้อ ไม่ชัดเจน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 ว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) โดยผลสำรวจพบว่านักลงทุนกังวลผลกระทบนโยบายทางการค้าและนโยบายทางการเงินของสหรัฐ ขณะที่มองว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและภาวะเศรษฐกิจในประเทศหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน”

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
– ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม 2562) ลดลงอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 120 – 160) โดยลดลง 7.23% อยู่ที่ระดับ 113.73
– ดัชนีกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน มาอยู่ที่ Zone ทรงตัว
– ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยยังคงอยู่ที่ Zone ร้อนแรง (Bullish)
– ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
– หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)
– หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA)
– ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
– ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ

ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และความเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจของไทยที่สศค.คาดการณ์ว่า GDP Growth ยังคงอยู่ที่ระดับ 4.5% แม้ว่าตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายนจะปรับตัวลดลง 5.2% เป็นเดือนแรกก็ตาม โดยนักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าการเจรจานโยบายทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเป็นปัจจัยความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนติดตาม

นอกจากนี้ ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ทยอยออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น นโยบายลดภาษีบุคคลธรรมดา การออกมาตรการกองทุนพยุงหุ้นของสมาคมหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องของจีน ภาวะเศรษฐกิจของยุโรปโดยเฉพาะกรณีคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ประกาศไม่เห็นชอบร่างงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี ราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวลดลงแม้ว่ามาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ ซึ่งจะจำกัดการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านเข้าสู่ตลาดน้ำมันดิบโลก

“เดือนตุลาคม เป็นเดือนที่แย่มากๆ ไม่เฉพาะตลาดหุ้นไทยอย่างเดียว เพราะไม่มีตลาดไหนเลยที่เป็นบวก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยแม้จะลดลง 5.7% แต่เป็นเพียงการปรับฐานเล็กน้อย ไม่ใช่การเข้าสู่ตลาดหมี ซึ่งถือว่าดีกว่าตลาดอื่นๆ และหลังจากพ้นเดือนตุลาคมทุกคนก็หวังว่าจะดีขึ้น” นายไพบูลย์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเงินทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ต่อเนื่อง โดยเดือน ต.ค. ไหลเข้าสุทธิ 1,139 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปีเข้ามาแล้ว 8,148 ล้านบาท ขณะที่เงินยังไหลออกจากตลาดหุ้น โดยเดือน ต.ค. ไหลออกสุทธิ 1,947 ล้านบาท รวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 8,465 ล้านบาท

“เงินที่ยังไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแรงจึงกล้าใส่เงินเข้ามา เพราะฉะนั้นถ้าเหตุการณ์ในตลาดหุ้นสงบ เชื่อว่าจะมีเงินไหลกลับเข้ามา” นายไพบูลย์ กล่าว

อ่านประกอบ

“ไพบูลย์” มั่นใจหุ้นไทยไม่ต่ำกว่านี้แล้ว บรรยากาศดีขึ้นหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ