HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงเทพ (BBL) แกร่ง นำแบงก์ใหญ่อวดกำไรไตรมาส 3/67 จำนวน 12,476 ล้านบาท โต 9.92% ตั้งสำรองหนี้ลดลง ส่วนกำไรรวม 9 เดือน 34,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.21% รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัว 4.4% ได้ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ 3.05% ปล่อยสินเชื่อ 2,638,697 ล้านบาท ลดลง 2.1% ธุรกิจรายใหญ่ยังโต ส่วนเงินฝากหดตัวมากกว่า 2.3% เหลือ 3,109,982 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและการลงทุนดีขึ้น ตั้งสำรองรวม 27,204 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน
ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ประกาศผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 3/2567 มีกำไรสุทธิ 12,476.36 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 6.54 บาท เพิ่มขึ้น 1,126 ล้านบาท หรือ เติบโต 9.92% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11,349,908 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 5.95 บาท และรวม 9 เดือนแรกปีนี้ กำไรทั้งสิ้น 34,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.21% หรือ 2,034.12 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32,772.71 ล้านบาทหรือ 17.17 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ราคาหุ้น BBL ปิดที่ 156 บาท บวก 2.50 บาท +1.63%
กำไรที่ดีขึ้นมาจากเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ การส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แนวโน้มในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การส่งออก และการขยายตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลกระทบจากน้ำท่วม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่สำคัญต่อการจัดหาพลังงานโลก และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางขยายตัว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นความท้าทายหรืออาจเป็นโอกาสทางธุรกิจ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อบริบทโลกให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎเกณฑ์ของทางการ ตลอดจนความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ธนาคารกรุงเทพในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ยังคงมุ่งเน้นให้คำแนะนำลูกค้าเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ โดยส่งเสริมการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมดูแลและช่วยเหลือธุรกิจไทยให้ปรับตัวสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสนับสนุนลูกค้าให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปยังต่างประเทศ ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งยึดมั่นแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) โดยให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและการเติบโตอย่างยั่งยืน
สาเหตุที่สนับสนุนกำไรสุทธิ 9 เดือนปี 2567 จำนวน 34,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 4.4% จากการบริหารจัดการสภาพคล่องของธนาคารและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิกับต้นทุนเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้นตามภาวะอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.05%
สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการลงทุนตามสภาวะตลาด และรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี
ส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาด โดยที่ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 46.3%
ทางด้านการตั้งสำรองหนี้ ธนาคารฯดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 3/2567 จึงตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า
จะเกิดขึ้นลดลง ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรวม 9 เดือนมีจำนวน 27,204 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ณ สิ้นเดือนก.ย. 2567 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,638,697 ล้านบาท ลดลง 1.2%จากสิ้นปีก่อน โดยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ยังคงมีการเติบโต สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.4% ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 266.6% เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 3,109,982 ล้านบาท ลดลง 2.3%จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.8% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 20.8% 17.4% และ 16.6% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด