HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นไทยอั้นมานาน กนง.ปลดล็อกมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ลดดอกเบี้ย 0.25% ดึงดูดเงินต่างชาติกลับมาซื้อ 4,201 ล้านบาทหลังจากขายมาหลายวัน เน้นหุ้นที่มีภาระหนี้สูง ไฟฟ้า ไฟแนนซ์, อสังหาริมทรัพย์ แต่ขายกลุ่มแบงก์ หนุนดัชนี+1.36% นำตลาดหุ้นเอเชียที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลงตามสหรัฐ มีลุ้นวิ่งไป 1500 จุด ค่าเงินบาทอ่อนก่อนพลิกกลับมาแข็ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองมีโอกาสที่กนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเดือนธ.ค.นี้ หากความกังวลเรื่องหนี้ยังไม่คลี่คลายลง
วันที่ 16 ต.ค.2567 ตลาดหุ้นไทยในภาคเช้าอ่อนแรงตามตลาดต่างประเทศ แต่ภายหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในช่วงบ่าย เซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยมติ 5 ต่อ 2 ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.25% ต่อปี ผลักดันดัชนีทะยานขึ้นแรงทะลุ 20 จุด ก่อนดัชนีปิดที่ระดับ 1,485.01 จุด เพิ่มขึ้น 19.98 จุด หรือ +1.36% มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 77,184.13 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศพลิกมาซื้อสุทธิ 4,201.29 ล้านบาท ผสมแรงซื้อสถาบันไทย 2,239.30 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,680.05 บาท สวนทางนักลงทุนไทยขายสุทธิ 8,120.64 ล้านบาท
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวลงตามสหรัฐ เช่น ญี่ปุ่นร่วงลงแรง 1.83%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ต่างก็เคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ จากแรงขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยตลาดมี Surprise จากกนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้ช่วงบ่ายดัชนีฯปรับขึ้นต่อเนื่องไปได้กว่า 20 จุด ซึ่งเป็นการปรับขึ้นไปได้สูงสุดของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ทั้งหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ที่จะทำให้การจับจ่ายใช้สอย และการบริโภคดีขึ้น กลุ่มที่มีภาระหนี้สูงก็จะได้ประโยชน์ด้วย โดยรวมแล้วการปรับลดดอกเบี้ยจะดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ตลาดได้รับแรงถ่วงจากกลุ่มแบงก์ พร้อมให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพรุ่งนี้ (17 ต.ค.) และติดตามเงินเฟ้อยุโรป, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ, GDP ไตรมาส 3 ของจีน และอีกหลายตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่จะทยอยออกมา
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (17 ต.ค.) ตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ เนืองจากการลดดอกเบี้ยมาเร็วกว่าคาด ซึ่งปกติจะช่วยเพิ่มอัพไซด์ให้กับตลาด พร้อมให้แนวรับ 1,480-1,470 จุด แนวต้าน 1,500 จุด
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง ท่ามกลางคุณภาพสินเชื่อที่ปรับด้อยลงโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง ซึ่งสะท้อนมุมมองว่ากนง. ให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กนง. มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงยังอยู่ในระดับที่เป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ ซึ่งกนง. ยังมีมุมมองต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่แตกต่างจากเดิม โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.7% ในปี 2567 และ ที่ 2.9% ในปี 2568 ขณะที่มองเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบล่างของเป้าหมายกนง. ในช่วงปลายปีนี้ และมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำส่วนหนึ่งจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ซึ่งกนง. ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.5% ในปี 2567 และ 1.2% ในปี 2568
ส่วนการประชุมครั้งหน้าในเดือนธ.ค. 2567 แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองมีโอกาสที่กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมครั้งหน้า หากความกังวลของกนง. เกี่ยวกับสถานการณ์หนี้ยังไม่คลี่คลายลง อย่างไรก็ดี หากธนาคารพาณิชย์มีการปรับลดดอกเบี้ยตาม รวมถึงหากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามคาด ก็มีโอกาสที่กนง. อาจคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งกนง. คงพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากข้อมูลที่ออกมาระหว่างทางเป็นสำคัญ รวมถึงคงต้องติดตามมาตรการทางการคลังที่อาจออกมาเพิ่มเติม
ทั้งนี้ หลังจากผลการประชุมกนง. ออกมา ค่าเงินบาทขยับอ่อนค่าเล็กน้อยจากระดับ 33.27 บาทต่อดอลลาร์ฯ มาอยู่ที่ราว 33.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยตอบรับด้วยการปรับขึ้นจากระดับ 1,467 จุดมาอยู่เหนือระดับ 1,480 จุด