HoonSmart.com>>วันนี้หุ้นไทยเด่นกว่าหลายตลาดในภูมิภาค ได้แบงก์-ประกันวิ่ง รับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) 10 ปี เพิ่มขึ้นทะลุ 4% หลังจากพักมานานนับตั้งแต่เฟดลดดอกเบี้ยแรง 0.5% รวมถึงธนาคารโลกปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68 โต 3% จากเดิมคาด 2.8% จากการบริโภค-การลงทุนเอกชนฟื้น ด้านทริสฯคงประมาณการปี 67-68 โต 2.6% และ 2.8% มองบวกการบริโภคดีขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป -ปีหน้าได้แรงหนุนจากภาครัฐ
วันที่ 8 ต.ค. 2567 ตลาดหุ้นไทยผันผวน ระหว่างวันบวกมากกว่า 7 จุด และติดลบกว่า 4.85 จุด สุดท้ายดัชนีปิดที่ 1,452.80 จุด บวก 0.60 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 54,675 ล้านบาท สวนทางตลาดส่วนใหญ่ในภูมิภาคที่ปรับตัวลง โดยเฉพาะฮ่องกงดิ่งหนักถึง 9.41% ผิดหวังจีนไม่ได้ประกาศแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่เพิ่มเติม ตลาดหุ้นจีน SHANGHAI บวกแรงต่อ 4.59% ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้าดีดตัวขึ้น จากราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง เบรนท์ต่ำกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดหุ้นไทยบวกจากแรงซื้อหุ้นท่องเที่ยว กลุ่มการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และประกัน หลังจากบอนด์ยีลด์สหรัฐและไทยเพิ่มขึ้น สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่พอร์ตลงทุน โดย TLI พุ่งขึ้น 8.74% หรือ 0.90 บาท ปิดที่ 11.20 บาท หุ้นแบงก์นำโดย BBL เพิ่มขึ้น 2.50 บาทหรือ +1.63% ปิดที่ 155.50 บาท KBANK บวก 2 บาทหรือ 1.33% ปิดที่ 152 บาท หุ้นท่องเที่ยว AAV เพิ่มขึ้น 2.36% หรือ 0.06 บาทปิดที่ 2.60 บาท
ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี และดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.80% และ 100.6 ตามลำดับ
ณ วันที่ 26 ก.ย.2567 หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5%
บล.กรุงศรี ออกบทวิเคราะห์ว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับขึ้นแรงและขึ้นต่อเป็นวันที่ 4 รับมุมมองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะลดน้อยกว่าเดิมหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานสหรัฐเมื่อวันศุกร์แข็งแกร่ง โดยบอนด์ยีลด์สหรัฐ อายุ 2 ปีปรับขึ้น อยู่ที่ 3.99%, อายุ 10 ปีอยูที่ 4.02% ซึ่งมีค่าสหสัมพันธ์สูงกับบอนด์ยีลด์ไทย เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI กลุ่มธนาคาร BBL, KBANK, KTB ทั้งนี้ TLI ยังมีกำไรเติบโตที่ดีจากพอร์ตลงทุนที่โตตามตลาดหุ้นด้วย และยังให้ผลตอบแทนปันผลสูง
ด้านธนาคารโลก คงคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปี 2567 อยู่ที่ 2.4% เร่งตัวขึ้นจาก 1.9% ในปี 2566 ส่วนปี 2568 จะเร่งตัวขึ้นเป็น 3.0% จากเดิมคาดที่ 2.8%ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนที่ฟื้นตัว ทั้งนี้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินหมื่นบาทให้แก่กลุ่มเปราะบาง อาจช่วยเพิ่มเศรษฐกิจ 0.5-1.0% กระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น แต่จะเพิ่มความกดดันต่อหนี้สาธารณะ เนื่องจากมีต้นทุนการคลังสูงถึง 450,000 ล้านบาท (2.4% ของ GDP)
“แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะตามหลังเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่คาดว่าจะเติบโตเร่งขึ้นเป็น 2.4% ในปีนี้ จากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่เศรษฐกิจไทยหลังโควิดโต 2.1% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโรคระบาดที่ 3.4% (2558-2562)”ธนาคารโลกระบุ
บริษัททริสเรทติ้งออกรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.6% ในปี 2567 และ 2.8% ในปีหน้า ได้ปัจจัยหนุนจากการบริโภคเอกชนดีขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนโต 2.7% เพิ่มเป็น 3.4% และการส่งออกสินค้ารวมในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คำนวณตามฐานดุลการชำระเงินขยายตัว 4.5% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวในปี 2568 ตามนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ผ่อนคลายมากขึ้นไอุปสงค์ต่างประเทศฟื้นตัวท่ามกลาง
อย่างไรก็ตาม ปรับลดคาดการณ์การลงทุนภาคเอกชนลงจากครั้งก่อนคาดโต 3.3% เหลือเพียง 0.8% เทียบไตรมาสที่ 2 หดตัว 6.8% เป็นผลมาจากการลงทุนในยานพาหนะ การก่อสร้างที่อยู่อาศัยและการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่ลดลงเป็นหลัก จากไตรมาสที่ 1 ขยายตัว 4.6%
ในปี 2567 ทริสคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 36.5 ล้านคน อัตราการฟื้นตัว 91% เมื่อเทียบกับปี 2562 จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวคนจีนและไม่ใช่คนจีน โดยในปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 38.8 ล้านคน ฟื้นตัว 97% เมื่อเทียบกับปี 2562 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวมีแนวโน้มทำให้การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังไม่เต็มที่เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด
ทริสคาดการอุปโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 คาดขยายตัว 3.0% และ 2.7% เนื่องจากการอนุมัติงบประมาณภาครัฐในปีงบประมาณ 2568 เป็นไปตามกำหนด ขณะที่ในปี 2567 ขยายตัวเพียงเล็กน้อย ที่ 1.2% และ 0.5% ตามลำดับ จากงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า