MEDEZE “ธนาคารสเต็ม เซลล์” พุ่งเป้า 10 ปี เบอร์ 1 ของเอเชีย

HoonSmart.com >> เมดีซ กรุ๊ป Deep Tech สัญชาติไทย ยกระดับสู่ ‘โกลบอลคอมพานี’ ผลักดันธุรกิจธนาคารสเต็ม เซลล์ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ขาย IPO 9 บาท เข้าตลาด SET 15 ต.ค.นี้  ขยายธุรกิจธนาคารเซลล์ ตอบโจทย์สังคมสูงวัย หวังก้าวสู่เบอร์ 1 ในเอเชีย ภายใน 10 ปี

นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์

บริษัท เมดีซ กรุ๊ป  (MEDEZE)  หรือเดิมชื่อ บริษัท กรุงเทพสเต็มเซลล์ จำกัด ผู้ให้บริการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cells ก่อตั้งเมื่อปี 2553 โดยกลุ่มนายแพทย์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ปัจจุบัน ถือเป็นธนาคารฝากเก็บเซลล์ต้นกำเนิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทั้งในแง่ส่วนแบ่งทางการตลาด และยอดขายที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง วันนี้พร้อมเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับโลก

นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEDEZE  กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของเมดีซ กรุ๊ป ไว้ว่า “วิสัยทัศน์ของเรา คือการใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด และมีมาตรฐานสูงสุดในการจัดเก็บและดูแลเซลล์ต้นกำเนิด เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องนำมาใช้ จะช่วยยืดระยะเวลา และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน โดยเฉพาะเมื่อเราก้าวสู่สังคมสูงวัย”

จากสเต็มเซลล์สู่ธนาคารเซลล์
สเต็มเซลล์ เป็นที่รู้จักในวงการแพทย์มามากกว่า 20 ปี และมีงานวิจัยจำนวนมากที่ออกมารองรับการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการฟื้นฟูสภาวะเสื่อมของร่างกาย แม้แต่ละประเทศจะยังไม่มีไกด์ไลน์ที่ชัดเจนในการนำมาใช้ แต่ธุรกิจจัดเก็บสเต็มเซลล์เริ่มมีผู้ให้บริการอย่างแพร่หลายในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา และเมดีซ กรุ๊ป ก็เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เกิดจากการลงทุนร่วมกันของ นพ.วีรพล ศ.ดร.รังสรรค์ พลพ่าย และนพ.จำรัส สกุลไพศาล

นพ.วีรพล กล่าวว่า ตอนเริ่มต้นธุรกิจเมื่อ 14 ปีก่อน มีผู้ประกอบการหลายราย ดังนั้นเมื่อมาทีหลัง จึงลงทุนด้วยเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ด้วยมาตรฐานการจัดเก็บแช่แข็งในระดับสากล (AABB) จากสหรัฐอเมริกา ด้วยเงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท และยังถือเป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บ คัดแยก และเพาะเลี้ยงที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทยขณะนี้ สามารถจัดเก็บได้นานถึง 60 ปี ขณะเดียวกันได้มีการคิดค้น พัฒนาและออกแบบนวัตกรรมใหม่ที่ใช้หุ่นยนต์ในการจัดเก็บและเพาะเลี้ยงเซลล์

นอกจากบริการจัดเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์แล้ว ยังให้บริการทดสอบศักยภาพเซลล์ภูมิคุ้มกัน (NK Cells) หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายที่มีคุณสมบัติในการกำจัดเซลล์มะเร็งและไวรัสชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้แพทย์ประเมินความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และเตรียมขยายบริการจัดเก็บและเพาะเลี้ยงเซลล์รากผม (Hair Follicle Cell Bank) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาของสังคมสูงวัย

“ปัจจุบัน เมดีซ กรุ๊ป ถือเป็นผู้ให้บริการธนาคารจัดเก็บและเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่มีระบบบริหารจัดการที่ทันสมัย และเป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดยคนไทย และมีลูกค้าที่ไว้วางใจให้เราดูแลเซลล์กว่า 20,000 บัญชี ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม High Net Worth ที่พร้อมจะลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต”
นพ.วีรพล กล่าว

เข้าตลาดฯ พร้อมเป็นเบอร์ 1 เอเชีย 

ปัจจุบัน เมดีซ กรุ๊ป ถือเป็นธนาคารสเต็มเซลล์เบอร์ 1 ของอาเซียน โดยได้รับรางวัล Southeast Asia Stem Cell Banking Growth Excellence Leadership Award โดย Frost & Sullivan ตั้งแต่ปี 2562 แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของนพ.วีรพล คือการนำพาบริษัทก้าวสู่เบอร์ 1 ของเอเชีย ซึ่งจะเป็นการสร้างตำนานบทใหม่ของเมดีซ กรุ๊ป และประเทศไทย ด้วยการยกระดับองค์ความรู้ด้านธนาคารเซลล์ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย

นพ.วีรพล กล่าวว่า บริษัทเตรียมแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจทั้งในส่วนของบริการจัดเก็บและเพาะเลี้ยงเซลล์รากผม และหุ่นยนต์ที่ช่วยจัดเก็บและเพาะเลี้ยงเซลล์ รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท โดยเสนอขาย IPO จำนวน 268 ล้านหุ้น ราคา 9 บาท/หุ้น เข้าซื้อขายในตลาด SET 15 ต.ค.นี้ ซึ่งการเข้าตลาดหุ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และชื่อเสียงให้บริษัทเป็นที่รับรู้ของประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้นทั้งในประเทศและระดับสากล

P/E 35.55 เท่า สอดคล้องปัจจัยพื้นฐาน

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาการเงินและแกนนำจำหน่ายหุ้น MEDEZE  กล่าวว่า ราคาหุ้น 9 บาท พี/อี 35.55 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิรอบ 4 ไตรมาสย้อนหลัง หรือตั้งแต่ 1 ก.ค.2566 – 30 มิ.ย. 2567 เท่ากับ 270.40 ล้านบาท หารด้วยหุ้นสามัญทั้งหมด หลัง IPO เท่ากับ 1,068 ล้านหุ้น ได้กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.25 บาท

“พี/อี 35.55 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในอดีต ยังไม่ได้พิจารณาผลงานในอนาคต ซึ่งราคา 9 บาท สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานธุรกิจของ MEDEZE” ที่ปรึกษาการเงินระบุ

สำหรับข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 เมดีซ กรุ๊ป มีถังไนโตรเจนเหลวสำหรับจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดให้กับลูกค้า 38 ถัง มีความสามารถในการสกัดเลือด 2,880 เคส/ปี สกัดเนื้อเยื่อได้ 4,560 เคส/ปี และทดสอบศักยภาพของ NK Cells ได้ที่ 1,920 เคส/ปี โดยเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลในประเทศทั้งหมดกว่า 228 โรงพยาบาล มีตัวแทนให้บริการทั้งในและต่างประเทศ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ พม่า อินโดนีเซีย และกัมพูชา

ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 446.41, 595.70 และ 701.81 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 25.38% ต่อปี

งวด 6 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้อยู่ที่ 403.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.23% กำไรอยู่ที่ 146 ล้านบาท โดยอัตราค่าบริการในการจัดเก็บสเต็มเซลล์ เริ่มตั้งแต่ 69,000 – 150,000 บาท ตลอดอายุสัญญา 60 ปี โดยที่บริษัทมีประกันความเสี่ยงต่าง ๆ โดยใช้เงินลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ดูแลสัญญาต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่มาใช้บริการ ปัจจุบันเมดีซ กรุ๊ป มีมูลค่าสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท

ซีอีโอ กล่าวทิ้งท้ายว่า เมดีซ ฯ ถือเป็น Backbone ให้สถานพยาบาลทั้งหมด ซึ่ง เมดีซ ฯ มีเทคโนโลยีของตัวเอง มีงานวิจัย ( R&D)  เฮ้าส์อยํู่ที่สิงคโปร์ มีความมุ่งมั่นเก็บสเต็มเซลให้มีประสิทธิภาพการรักษา  โดยตนเองมีวิสัยทัศน์ทำสิ่งดีที่สุดเพื่อคุณภาพชีวิตประชากรที่ดีขึ้น

” หลังเข้าตลาดหุ้นไทยแล้ว   เมดีซฯ จะพัฒาทำให้ชีวิตประชากรดีขึ้น มุ่งมั่นทำให้ดีที่สุด   ณ วันนี้ เราชนะภูมิภาค อนาคต ภายใน 10 ปี เป็นที่ 1 ในภูมิภาคเอเชียให้ได้ ” นพ.วีรพล กล่าวในที่สุด