บลจ.วรรณหั่นเป้า SET เหลือ 1,570 จุด เสิร์ฟกอง Life Settlement ซีรีส์ 5

HoonSmart.com>> “บลจ.วรรณ” ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 66 ลงเหลือ 1,570 จุด จาก 1,640 จุด หวังรัฐบาลใหม่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจใน 2-3 เดือนนี้ ประเมินปัจจัยลบ “ความขัดแย้งภูมิศาสตร์-เศรษฐกิจจีนทรุดหนัก-ม็อบไทยรุนแรง” อาจเห็นดัชนี 1,395 จุด ด้านเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความผันผวน แนะกระจายความเสี่ยง ชู “กองทุนทางเลือก Life Settlement Fund” ซีรี่ส์ 5 ซื้อขายกรมธรรม์ประกันชีวิตในตลาดรองประเทศสหรัฐฯ เปิดขาย 21 ส.ค. – 29 ส.ค.นี้ หลังส่ง 4 ซีรีส์ เงินไหลเข้าลงทุนกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

พจน์ หะริณสุต

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ เปิดเผยว่า บลจ.วรรณ มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้อยู่ที่ 1,570 จุด ภายใต้สมมุติฐาน ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจและรัฐบาลสามารถออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้ อย่างไรก็ตาม กรณีเลวร้าย เช่น การเมืองในประเทศ มีการชุมนุมเกิดความรุนแรง เงินเฟ้อทั่วโลกที่ยังสูง สงครามในหลายประเทศกลับมาปะทุ หรือเศรษฐกิจจีนเสียหายหนักกว่าที่คาด ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับลดลงสู่แนวรับ 1,395 จุด

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ บลจ.วรรณ คาดการณ์ดัชนีปี 2566 ไว้ที่ 1,640 จุด

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี หนุนโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมา คาดช่วยหนุนทั้งการท่องเที่ยวในประเทศ และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในระยะสั้น ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไป ชะลอตัวต่อเนื่อง ช่วยลดแรงกดดันด้านการใช้นโยบายการเงินที่แข็งกร้าว ของคณะกรรมาการนโยบายการเงิน(กนง.)

“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังคงมีอัตราการขยายตัวเกือบ 3% จากการท่องเที่ยวและภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัว โดยปัจจัยบวกที่เห็นชัดคือการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวจีนและหวังว่าจะเป็นแรงส่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวในปีนี้เพิ่งสูงขึ้นมาได้ถึง 70% ของก่อนช่วง covid19 หรือประมาณ 29 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวในอัตราที่ลดลงนั้นได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทั้งนี้มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณน่าจะมาล่าช้ากว่ากำหนดอันเป็นผลมาจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า”

สำหรับปัจจัยบวกในช่วงถัดจากนี้ของปี คืออัตราเงินเฟ้อที่น่าจะชะลอตัวลง ประกอบกับความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลที่น่าจะแล้วเสร็จได้ในก่อนไตรมาสสุดท้ายของปี รวมทั้งปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะสามารถเป็นแรงหนุนบรรยากาศการลงทุนของในช่วงที่เหลือได้กว่าครึ่งปีแรกที่ผ่าน

ด้านภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญกับความผันผวน จากปัญหาสภาพคล่องในภาคธนาคารประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน และทิศทางเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงบางประเทศ ทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป หรือ แม้แต่ภูมิภาคเอเชีย แม้สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกจะผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว ตามการอ่อนตัวของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ธนาคารกลางส่วนมากยังต้องติดตามสถานการณ์การปรับตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากอุปสงค์ในภาคบริการและค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น อาจสร้างแรงกดดันให้เงินเฟ้ออยู่เหนือระดับเป้าหมายยาวนานกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป ประกอบกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นอีกประเด็นที่กดดันบรรยากาศการลงทุน

ในแง่ของการลงทุนในตลาดสินทรัพย์หลัก บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น โดยแนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว โดยมองว่า อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงช่วยจำกัดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง (Hard-Landing) อีกทั้งตลาดรับรู้ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่ผันผวนไปพอสมควร ซึ่งแนะนำให้เลือกลงทุน “หุ้นกลุ่มเติบโต (Global Growth)” ที่มีขนาดใหญ่ มีฐานะทางการเงินแข็งแรง กำไรบริษัทฟื้นตัวได้ดี โดยเฉพาะบริษัทที่ได้ประโยชน์จาก Generative AI ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมทั้ง “ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย” ได้แก่ จีน และเอเชียแปซิฟิค ที่ลงทุนในธุรกิจที่มีความยั่งยืนและพลังงานสะอาด (Asia Pacific ESG) ที่จะได้ประโยชน์จากอัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคที่ชะลอตัว ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันด้านดอกเบี้ยนโยบาย และเชื่อว่าจะเป็นภูมิภาคสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้

“ตลาดหุ้นเอเชียใต้ อย่าง จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน น่าสนใจ แต่ในระยะสั้นตลาดหุ้นจีนอาจยังถูกกดดันจากสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหา อาจชะลอลงทุนเพื่อดูสถานการณ์ก่อน แต่หากมองด้านราคาหุ้นจีนถือว่าถูกมาก อาจรอจังหวะในการซื้อสะสมติดพอร์ต ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนสแด็ค หากดอกเบี้ยใกล้พีค เศรษฐกิจไม่ได้หดตัวอย่างรุนแรงก็ไปต่อได้”นายพจน์ กล่าว

เปิดขาย IPO กองทุนไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ 5

ทั้งนี้ ภาพรวมของตลาดสินทรัพย์หลัก อาทิ ตราสารทุน ตราสารหนี้ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง การกระจายความเสี่ยงถือเป็นหัวใจสำคัญในการลงทุนในมุมมองของบลจ.วรรณ และอีกทางเลือกที่บลจ.วรรณ แนะนำให้ลูกค้ามาโดยตลอด คือ การจัดสรรเงินบางส่วนเพื่อลงทุนในกองทุนทางเลือก กองทุนเปิด วรรณ ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ โดยระหว่างวันที่ 21 สิงหาคม – 29 สิงหาคม 2566 บลจ.วรรณเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ 5 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ONE-LS5-UI) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีเข้ามามากตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันกองทุนมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8-9% ต่อปี

สำหรับกองทุน ONE-LS5-UI เน้นลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิตในตลาดรองประเทศสหรัฐฯ ลงทุนในกรมธรรม์ในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว(กองทุนหลัก) คือกองทุน One Life Settlement Limited Partnership ซึ่งบริหารจัดการการลงทุนโดย SL Investment Management ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ซึ่ง ONE-LS5-UI เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund กองทุนที่เน้นลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่างประเทศในระดับความเสี่ยงที่ 8+ กองทุน ONE-LS5-UI มีอายุโครงการ 3 ปี 3 เดือน โดยระหว่างทางการลงทุน ผู้ถือหน่วยมีโอกาสไถ่ถอน (Redemption) หน่วยลงทุนได้ เมื่อถือลงทุนครบ 1 ปีขึ้นไป ซึ่งสามารถไถ่ถอนได้ตามที่บลจ.วรรณกำหนด เงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท

นายพจน์ กล่าวต่อว่า บริษัทเชื่อมั่นว่า การกระจายความเสี่ยงโดยแนะนำการลงทุนกองทุนทางเลือกจะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนในช่วงสินทรัพย์ดั่งเดิมมีความผันผวนได้ดี โดยที่ผ่านมากองทุนทางเลือก ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีต่อเนื่อง โดยบลจ.วรรณยังครองแชมป์กองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยกองทุน ONE-LS4-UI มียอดขายประมาณ 3.3 พันล้านบาท ถือเป็นการ IPO กองทุนสินทรัพย์ทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดในตลาดของปีนี้

สำหรับแผนออกกองทุนใหม่ในช่วงที่เหลือของปีนี้เป็นกองทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ,กองทุนทริกเกอร์ฟันด์หุ้นไทยและกองทุนทริกเกอร์ฟันด์หุ้นจีน รวมถึงไพรเวทเครดิต เป็นต้น ขณะที่ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริการจัดการ (AUM) ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2566 อยู่ที่ 164,000 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนและคาดว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะ 170,000 ล้านบาท