AAV-THAI-AOT ขึ้นนำกลุ่มท่องเที่ยว CCAT แผนลดค่าตั๋วบิน-เพิ่มที่นั่ง

HoonSmart.com>>หุ้น AAV-THAI-AOT ขึ้นนำหุ้นอื่นกลุ่มท่องเที่ยว สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หารือสายการบิน มีแผนลดค่าตั๋วบิน 30% และเพิ่มที่นั่งในช่วง 26 ธ.ค.68 ถึง 4 ม.ค.69 ส่วน AOT จะลดค่า Landing Charge และ Parking Charge 30% ส่งผลกระทบจำกัดต่อรายได้รวม แต่กระตุ้นท่องเที่ยว ล่าสุดสัญญาณบวกนักท่องเที่ยวชาวจีนย้ายกลับเที่ยวไทยมากขึ้น และราคาหุ้นมี Discount มากพอที่จะลงทุนระยะกลาง-ยาวได้ พร้อมเชียร์ CENTEL, ERW, AOT

หุ้นการบินปิดภาคเช้าขยับขึ้นนำหุ้นอื่นในกลุ่มท่องเที่ยว นำโดยหุ้น AAV พุ่ง 6.90% มาที่ 1.24 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท มูลค่าซื้อขาย 138.80 ล้านบาท
หุ้น THAI บวก 5.39% มาที่ 8.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท มูลค่าซื้อขาย 196.24 ล้านบาท
หุ้น AOT พุ่ง 5% มาที่ 52.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,277.57 ล้านบาท
หุ้น BA บวก 3.50% มาที่ 14.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 90.56 ล้านบาท

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้หารือร่วมกับ 6 สายการบิน ได้แก่ บริษัท การบินไทย (THAI) และสมาคมสายการบินประเทศไทย ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท ในการจัดทำแผนลดราคาค่าบัตรโดยสารและเพิ่มที่นั่ง โดยมีการปรับเปลี่ยนแบบอากาศยานให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการเดินทางทั้งเส้นทางเมืองหลักและเมืองรอง ในช่วงวันที่ 26 ธ.ค.2568 -4 ม.ค.2569 ดังนี้ ลดราคาค่าบัตรโดยสาร 30% จากเพดานราคา จำนวน 202 เที่ยวบิน รวม 36,320 ที่นั่ง และปรับเปลี่ยนแบบอากาศยานเพื่อเพิ่มที่นั่ง จำนวน 302 เที่ยวบิน คิดเป็น 70,400 ที่นั่ง

นอกจากนี้ AOT จะให้ส่วนลดค่าบริการ Landing Charge และ Parking Charge 30% สำหรับเที่ยวบินพิเศษในช่วงเทศกาล รวมถึงเที่ยวบินที่มีการลดราคาค่าบัตรโดยสาร

บล.ดาโอ มองเป็นกลางต่อกลุ่มการบิน เนื่องจากมาตรการเป็นเพียงระยะสั้น และจำนวนเที่ยวบิน/ที่นั่งที่เข้าร่วมยังคิดเป็นสัดส่วนไม่สูง เมื่อเทียบกับจำนวนเที่ยวบินรวมทั้งระบบ (โดยเฉลี่ย 11 เดือนปี 2569 จำนวนเที่ยวบินในประเทศรวมทุกสนามบินเฉลี่ยอยู่ที่ 4 หมื่นเที่ยวบิน/เดือน และผู้โดยสารเฉลี่ยที่ 5.5
ล้านคน/เดือน) และเป็นการลดราคาตั๋ว 30% จากเพดานราคา มีผลจำกัดต่อรายได้รวม เนื่องจากเพดานราคาสูงกว่าราคาขายจริงของหลายเส้นทางอยู่แล้ว

สำหรับ AOT การให้ส่วนลด Landing Charge และ Parking Charge 30% กระทบรายได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากจำกัดเฉพาะเที่ยวบินพิเศษ และช่วงเวลาสั้น ดังนั้น ประเมินจะมีผลกระทบโดยรวมยังจำกัด ทั้งนี้ กลุ่มการบิน (Aviation) เราให้น้ำหนักเป็น Neutral (เป็นกลาง) โดย AOT แนะ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 54 บาท โดยกำไรจะได้ผลบวกจากการปรับเพิ่ม PSC ที่ กบร.อนุมัติฯ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. โดยขั้นตอนปัจจุบัน AOT ได้มีการนำส่งเอกสารให้ CAAT ตรวจสอบและดำเนินการจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อนจะเสนอให้ รมว.คมนาคม ลงนามรับรอง (คาดว่าภายในสัปดาห์นี้, ไม่ต้องผ่าน ครม.) และประกาศอัตรา PSC ใหม่ในราชกิจจานุเบกษา และมีกำหนดใช้จริงในอีกประมาณ 4 เดือน (ราวเดือน เม.ย.26) เพื่อให้สายการบินและผู้โดยสารเตรียมการล่วงหน้า ส่วน AAV ยังแนะ”ขาย”ราคาเป้าหมาย 1.05 บาท

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตอนนี้มีสัญญาณบวกจากนักท่องเที่ยวชาวจีนย้ายกลับมาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งราคาหุ้นก็มี Discount มากพอที่จะเข้าลงทุนระยะกลาง-ยาวได้ โดยแนะนำหุ้น CENTEL, ERW, AOT

อย่างไรก็ดี ภาพการลงทุนหุ้นไทยไม่ได้เป็นบวกมาก เพราะมี Sentiment ลบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อาจจะกระทบการท่องเที่ยวบ้าง อีกทั้งช่วงนี้ก็เป็นช่วงรอดูความชัดเจนการเลือกตั้งใหม่ด้วย

บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับคำแนะนำหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ขึ้นเป็น Overweight คาดนักท่องเที่ยวจีนปี 2569 จะเพิ่มขึ้นได้โดดเด่น จึงมีมุมมองเป็นบวกจากสัมมนาเรื่อง “จับชีพจรนักท่องเที่ยวจีน : โอกาสและความท้าทายในปี 2026” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยคุณชนะพันธ์ แก้วกล้าไชยวุฒิ นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน

โดย 1) นักท่องเที่ยวจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2568 และจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนช่วงตรุษจีนในตรมาส 1/2569 และคาดปี 2569 จำนวนนักท่องเที่ยวจะสูงถึง 8 ล้านคน (คาดที่ 5 ล้านคน) จาก 11 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 4.1 ล้านคน จากการเสด็จฯเยือนจีนของในหลวง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ รวมถึงการกลับมาของกรุ๊ปทัวร์

2) ช่วงตรุษจีน (17 ก.พ.-3 มี.ค. 26) จะเห็นการเติบโต YoY ได้ดี ส่วนหนึ่งเกิดจากที่ญี่ปุ่นแบนจีน และทัวร์จีนเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดี ขณะที่ประเด็นไทยกัมพูชา มองว่าผลกระทบค่อนข้างจำกัด

3) มองไทยสามารถแข่งขันกับเวียดนามได้ เพราะมีการบริการที่ดีกว่า, เน้นการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ และสามารถเที่ยวได้ทั้งปี ซึ่งต่างจากเวียดนามที่ส่วนใหญ่เป็น Man-made และเที่ยวได้เป็นบางช่วงยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2568/2569 ของกลุ่มท่องเที่ยวอยู่ที่ 1.22 หมื่นล้านบาท/1.32 หมื่นล้านบาท (+8.5% YoY/+8.4% YoY) จากการเติบโตของ RevPAR, บริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี

พร้อมปรับน้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” จากเดิมที่ “เท่ากับตลาด” เพราะไตรมาส 4/2568-ไตรมาส 1/2569 เข้าสู่ High season ทั้งที่ไทยและมัลดีฟส์, นักท่องเที่ยวจีนผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ด้าน Valuation ลงมาซื้อขายที่ PER เพียง 13x จากไตรมาสก่อนที่ 20x แต่ยังต่ำเมื่อเทียบกับก่อนโควิดที่ราว 35x โดยยังคงเลือก CENTEL, ERW เป็น Top pick