OR ชูโมเดล ‘หยุดขาดทุน’ เพิ่มพอร์ต ตปท.ต่อยอดธุรกิจใหม่

HoonSmart.com>>”ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก” (OR) ลั่นธุรกิจจะไม่ขาดทุนอีกแล้ว มุ่งสร้างธุรกิจหลักแข็งแกร่ง เล็งเปิดปั๊มเล้กตามอำเภอ ขยายธุรกิจใหม่เน้นสุขภาพ-ความงามและการท่องเที่ยว-ที่พัก เดินหน้าบุกต่างประเทศ ตั้งเป้า EBITDA ในปี 70 เพิ่มเป็น 15% จากครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 7.6% ทุ่มงบ100 ล้านเหรียญลงทุนกัมพูชา ส่วนบริษัทร่วมทุน เผย 2 ธุรกิจอาหาร พร้อมเข้าตลาดหุ้นปลายปี 67 ถึงต้นปี 68 มองแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังสดใส ราคาน้ำมัน-ท่องเที่ยวหนุน  คุย 6 เดือนแรกทำได้ดี โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยง ไม่มีขาดทุนสต๊อกเหมือนบริษัทขายปลีกน้ำมัน  

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) แถลงแผนการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2566 ว่า บริษัทจะใช้ความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานและความเข้าใจเรื่องการตลาด มุ่งเน้นการลงทุนที่สามารถต่อยอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างชัดเจนตามพันธกิจของ OR ได้ในระยะยาว และการสร้าง Synergy ร่วมทั้งจากภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท. ในการเติมเต็มธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ มั่นใจจะไม่ประสบปัญหาขาดทุนอีกแล้ว เพราะจะบริหารจัดการความเสี่ยงให้เข้มแข็งมากขึ้น  ซึ่งผลงานในงวด 6 เดือนแรกปี 2566  ก็ทำได้ดีในเรื่องการบริหารความเสี่ยง ทำให้ไม่ประสบปัญหาขาดทุนสต็อกน้ำมัน เหมือนบริษัทขายปลีกน้ำมันอื่นๆ

นอกจากนี้ บริษัทไม่ได้หยุดนิ่ง มองหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ ๆ โดยกำลังพิจารณาธุรกิจเป้าหมายด้านสุขภาพ และความงาม (Health & Beauty) ซึ่งตอบโจทย์กระแสหลัก เรื่องการเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) และกลุ่มประชากรในวัยทำงานที่จะถือเป็นกลุ่มหลักของคนในประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มของการใส่ใจสุขภาพ และความงาม นอกจากนี้ยังสนใจด้านการท่องเที่ยวและที่พัก (Tourism & Accommodation) ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มสอดคล้องกับพันธกิจด้าน All Lifestyle ของ OR ที่ต้องการเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตามบริษัทฯมีประสบการณ์จากการลงทุนที่ผ่านมา ดังนั้นการจะลงทุนใหม่จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเพื่อทดลองตลาดก่อน  สำหรับพอร์ตการร่วมทุน มีทั้งที่ยังไม่เข้าเป้าหมาย และเติบโตแข็งแกร่ง มี 2-3 บริษัทพร้อมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยประมาณปลายปี 2567 หรือต้นปี 2568 จะมี 2 บริษัทที่ดำเนินธุรกิจอาหาร  เช่น โอ้กะจู้ วางแผนจะเสนอขายหุ้น IPO

ขณะเดียวกัน OR จะเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจ Global มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ดำเนินการอยู่ โดยเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และร่วมกับพันธมิตรในการขยายธุรกิจออกไปในต่างประเทศ ตลอดจนหาโอกาสในการสร้างการเติบโตผ่านการลงทุนใหม่ในรูปแบบต่างๆ ที่มีศักยภาพ มุ่งแสวงหาพันธมิตรในการขยายธุรกิจอย่างมั่นคง โดยประเทศยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ OR คือประเทศกัมพูชาที่เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 รองจากประเทศไทย รวมถึงลาว และเวียดนาม

ที่ผ่านมาได้เริ่มนำแบรนด์ไทยที่มีศักยภาพไปทดลองในตลาดต่างประเทศแล้ว เช่น การนำแบรนด์ “อ๊อตเทริ วอชแอนด์ดราย” Otteri wash & dry ไปเปิดสาขาแรกใน PTT Station สาขา Chbar Ampov ถือเป็นการนำพันธมิตรของ OR ไปบุกเบิกตลาดร้านสะดวกซักในประเทศกัมพูชา เป็นไปตามพันธกิจในการสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภค และยังช่วยเพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจให้กับเครือข่ายสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ในประเทศกัมพูชา

สำหรับตลาดในกัมพูชามีศักยภาพสูงมาก จากการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตมากกว่า 5% ต่อปี และไม่มีโรงกลั่น ปัจจุบันบริษัทมีการให้บริการสถานีน้ำมัน  170 สถานี และมีคลังน้ำมันขนาดเล็ก วางแผนลงทุนขยายคลังน้ำมัน เพิ่มเป็น 1 เท่าตัวถึง 1 เท่าตัวครึ่ง และก่อสร้างคลัง LPG ใหม่ คาดใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม จะสร้างรายได้ในปี 2568 ยังเตรียมให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน หลังได้รับสัมปทานระยะยาวเติมในสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ   และยังช่วยบริหารน้ำมันส่วนเกินของบริษัทในกลุ่ม  เช่น บริษัทไทยออยล์จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น  สามารถขายให้กับผู้ใช้โดยตรงจะได้ราคาที่ดีกว่า เทียบกับการขายในตลาดล่วงหน้าที่สิงคโปร์ที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการส่งเฉลี่ย 3 ดอลลาร์/บาร์เรล  รวมถึงในประเทศฟิลลิปปินส์ ก็คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทตั้งเป้า EBITDA ธุรกิจ Global ในปี 2570 จะเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากครึ่งปีแรกของปีนี้อยู่ที่ 7.6%

นายดิษทัตกล่าวว่า OR วางกลยุทธ์สร้างพอร์ตสมดุล และมั่นใจในการเจริญเติบโตของทุกธุรกิจ พร้อมช่วยเหลือชุมชนและสังคม  สำหรับการขาดทุนที่ผ่านมา เกิดจากเข้าไปดูแลประเทศไทยในการบริหารพลังงาน   แนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีจากราคาน้ำมันดิบขาขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี รวมถึงปัจจัยแวดล้อมเอื้ออำนวย การท่องเที่ยวคึกคักและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว มั่นใจไตรมาสที่ 4 จะไม่ขาดทุนเหมือนปีที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จากราคาน้ำมันดิบที่ถีบตัวสูงขึ้นแล้วปรับตัวลงเร็ว ส่วนในปีนี้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 77-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปีก่อนที่ 96.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ในเร็วๆ นี้ OR จะเปิดตัวแอปพลิเคชัน “เอ็กซ์พลอร์” (xplORe) ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังมีแผนเปิดตัวสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น flagship station ที่จะเป็นต้นแบบสถานีบริการในอนาคตนำเสนอทั้งจุดบริการเติมน้ำมัน และ สถานีอัดประจุไฟฟ้า (Seamless Mobility) พร้อมด้วยพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่และหลากหลายตอบโจทย์ความต้องการทุกรูปแบบ (All Lifestyles) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้พลังงานสะอาดด้วยการติดตั้ง Solar Rooftop สะท้อนภาพ OR Ecosystem ที่ตอบโจทย์ด้าน Mobility & Lifestyle และรูปแบบการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับการเติบโตในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันการสร้างยอดขาย และกำไรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม Energy Solution อาทิ ยางมะตอย น้ำมันอากาศยาน หรือผลิตภัณฑ์หล่อลื่น PTT Lubricants นอกจากนี้ ยังคงสานต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนเพื่อบรรลุเป้าหมายใน 3 มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวทาง SDG ในแบบฉบับของ OR เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ