ดาวโจนส์ปิดร่วง 361 จุด วิตกเศรษฐกิจจีน ฟิทช์เตือนอาจลดเรทติ้งแบงก์

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วง ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 361 จุด -1.02%, S&P500 -1.16%, Nasdaq -1.14% นักลงทุนเทขายหุ้นกังวลภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ด้านหุ้นกลุ่มแบงก์ร่วง หลังฟิทช์ เรทติ้งส์เตือนอาจลดอันดับความน่าเชื่อถือ ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.52 ดอลลาร์ ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดวันที่ 15สิงหาคม 2566 ที่ 34,946.39 จุด ลดลง 361.24 จุด หรือ 1.02% จากแรงเทขายด้วยความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน แม้ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐล่าสุดยังแข็งแกร่ง ประกอบกับกลุ่มธนาคารร่วงหลังฟิทช์ เรทติ้งส์เตือนอาจลดอันดับความน่าเชื่อถือ

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,437.86 จุด ลดลง 51.86 จุด, -1.16%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,631.05 จุด ลดลง 157.28 จุด, -1.14%

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงาน ยอดค้าปลีกเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 3.17% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่า 1.50% ที่นักวิเคราะห์คาดค่อนข้างมาก และเมื่อเทียบรายเดือนเพิ่มขึ้น 0.7% สูงกว่า 0.4% ที่นักวิเคราะห์คาด

รายงานยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งสร้างความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถเติบโตต่อไปได้และพ้นจากการเข้าสู่ภาวะถดถอยที่คาดการณ์ไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)คงอัตราดอกเบี้ยให้สูงเพื่อคุมเงินเฟ้ออย่างเต็มที่

ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)สาขาแอตแลนตา เปิดเผย GDPNow ที่แสดงให้เห็นว่า GDP เติบโตในอัตรา 5% ต่อปีในไตรมาสสาม เพิ่มขึ้นจาก 4.1% ซึ่งเติบโตเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014

ไมค์ โลเวนการ์ต หัวหน้าฝ่ายพัฒนาพอร์ตโมเดลของ Morgan Stanley Global Investment Office กล่าวว่า ตัวเลขวันนี้ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงสูงขึ้นไปอีกนาน แม้ว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นในเดือนหน้าก็ตาม

อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง หลังจากที่จีนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างที่ไม่คาดมาก่อนอีกทั้งยังงดรายงานการว่างงานของเด็กจบใหม่

จีนรายงานการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่า 4.4% ที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ต่ำกว่า 4.5% ที่นักวิเคราะห์คาด และธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีลง 0.15% มาที่ 2.50%

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่คริส วูลฟ์ นักวิเคราะห์ของฟิทช์ เรทติ้งส์ให้สัมภาษณ์สถานทีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีเตือนว่าอาจลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์สหรัฐ รวมทั้งเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และยังเตือนว่าหากฟิทช์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของภาคธนาคารสหรัฐอีกครั้งหนึ่งจาก AA- ไปที่ A+ จะส่งผลให้ต้องประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารมากกว่า 70 แห่งในสหรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารหลายแห่ง

หุ้นเจพีมอร์แกน เชส หุ้นเวลลส์ ฟาร์โก ต่างลดลง 2% หุ้นแบงก์ออฟอเมริกาลดลง 3%

หุ้นโกลด์แมน แซคส์ หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ลดลงกว่า 1%

หุ้นธนาคารขนาดเล็ก ขนาดกลางและธนาคารภูมิภาคก็ลดลงเช่นกัน โดยหุ้น Comerica หุ้น Zions Bancorp. และหุ้น Citizens Financial Group ลดลงอย่างน้อย 4.4% หลังจากนายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิส เห็นด้วยกับกฎเกณฑ์ด้านเงินทุนที่เข้มงวดมากขึ้น โดยระบุว่าความเสี่ยงเงินเฟ้อยังมีอยู่ หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก ธนาคารก็จะประสบกับการขาดทุนมากขึ้นอีกจากปัจจุบัน และแรงกดดันก็อาจปะทุขึ้นได้อีกในอนาคต

หุ้นกลุ่มรับสร้างบ้านพากันปรับขึ้นหลังบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เปิดเผยว่าได้เข้าซื้อหุ้นของหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ D. R. Horton และราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 2.2%

หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ ลดลง 2.3% หลังมีรายงานว่าบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ลดการถือครองหุ้น

สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านเดือนสิงหาคมลดลงมาที่ 50 เป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน และต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

หุ้น Home Depot บริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ บวก 0.68% จากกำไรไตรมาส 2 ของปีบัญชีสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

หุ้น Campbell Soup ลดลง 1.3% หุ้น Modernaลดลง 3.2% ทั้งสองบริษัทปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายครั้งล่าสุดวันที่ 25-26 กรกฎาคมของเฟด รวมทั้งการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบบวก ปริมาณการซื้อขายเบาบาง ด้วยความผิดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจของจีนและการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างที่ไม่คาดมาก่อนของธนาคารกลางจีน แม้ค่าจ้างในอังกฤษขยายตัว

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษรายงานประมาณการณ์เงินเดือนเฉลี่ยรายเดือนในอังกฤษไม่รวมโบนัสว่า เพิ่มขึ้น 7.8% ในเดือนกรกฎาคมจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกที่เปรียบเทียบเริ่มขึ้นในปี 2001 ซึ่งอาจะเพิ่มแรงกดกันให้กับเงินเฟ้อที่สูงอยู่แล้ว

กลุ่มทรัพยากรลดลง 1.5% กลุ่มธนาคารและกลุ่มสาธารณูปโภคต่างลดลง 1.2%

แต่กลุ่มค้าปลีกบวก 0.5% เป็นผลจากการปรับขึ้น 7.5% ของหุ้น Marks & Spencer ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในอังกฤษ หลังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลการดำเนินงาน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีเดือนสิงหาคมลดมาที่ -12.3 แต่ดีขึ้นจาก -14.7 ในเดือนกรกฎาคม

นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดัน จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หลักอย่างกระทันหันของธนาคารกลางรัสเซีย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับเงินรูเบิล หลังจากที่ออ่อนไปแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นของสงครามกับยูเครน

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 455.57 จุด ลดลง 4.29 จุด, -0.93%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,389.64 จุด ลดลง 117.51 จุด, -1.57%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,267.70 จุด ลดลง 81.14 จุด, -1.10%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,767.28 จุด ลดลง 136.97 จุด, -0.86%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 1.52 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 80.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 84.89 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่สดใสของจีนซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก