HoonSmart.com>>”ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งฯ”(STEC) ต่อยอดเติบโตแข็งแกร่ง ปรับโครงสร้างสู่โฮลดิ้ง “สเตคอน กรุ๊ป” (STECON) เปิดให้นักลงทุนแลกหุ้นถึง 21 ต.ค. วางเป้าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ หนุนรายได้ธุรกิจใหม่ภายใน 5 – 10 ปี เป็น 50% รับอานิสงส์ภาครัฐเร่งโครงการเมกะโปรเจกต์ ชูจุดแข็งการเงิน ตุน Backlog กว่า 1 แสนล้านบาท เพิ่มความสามารถในการทำกำไรและจ่ายเงินปันผล
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เปิดเผยถึงก้าวที่สำคัญในการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ เพื่อมุ่งสู่การเป็น บริษัทโฮลดิ้ง ภายใต้ชื่อ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป (STECON) เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยบริษัทมีแผนลงทุนในธุรกิจที่สร้าง Recurring Income และธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) วางเป้าหมายในช่วง 5 – 10 ปี ดันรายได้ในธุรกิจใหม่เติบโตอย่างโดดเด่น หวังกระจายความเสี่ยง สร้างรายได้ประจำ เสริมแกร่งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ไปยังธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างเดิม
ทั้งนี้ภายหลังจากการปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้ง แบ่งธุรกิจเป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) กลุ่มธุรกิจหลัก และ (2) กลุ่มธุรกิจอื่น โดยกลุ่มธุรกิจหลักแบ่งเป็น 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ดำเนินการภายใต้ชื่อ STEC 2.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน ดำเนินการภายใต้ชื่อ “Stecon Power” และ (3) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง ภายใต้ชื่อ “Stecon Logistics & Transportation”
ส่วนกลุ่มธุรกิจอื่น ดำเนินการภายใต้ชื่อ STECX Ventures ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตสูง สร้างรายได้ และผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน โดยแต่ละธุรกิจยังสามารถสร้าง synergy ร่วมกัน เพื่อสร้างโอกาสการเติบที่มั่นคงในอนาคต ปัจจุบัน STEC อยู่ระหว่างเจรจาโครงการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม คาดว่าจะเริ่มเห็นรายได้จากธุรกิจอื่นเข้ามาเสริมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในปี 2568
STECON มีเป้าหมายลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ และรองรับแผนการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน โดยมีแผนลงทุนในธุรกิจที่สร้าง Recurring Income และธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ไปยังธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างเดิม ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ในธุรกิจใหม่ในช่วง 5 – 10 ปีข้างหน้าจะเห็นการเติบโตอย่างโดดเด่น และมีสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่นักลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
บริษัทเดินหน้าตามแผนการปรับโครงสร้างให้สำเร็จและลุล่วง บริษัทจึงขอเชิญชวนให้ผู้ถือหุ้นนำหุ้น STEC ที่จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามแผนการปรับโครงสร้าง ไปแลกเป็นหุ้นของ STECON ที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอัตรา 1 ต่อ 1 ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 21 ต.ค. 2567 (เฉพาะวันทำการ) คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนต.ค. 2567
แนวโน้มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง แม้ว่าในช่วง 5 ปี ได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจมหภาคและการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของอุตสาหกรรมเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ภายหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าการลงทุนโครงการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยภาครัฐได้ทยอยเปิดประมูลงานใหม่ ๆ ซึ่ง STEC มีแผนที่จะเพิ่มกำไรของธุรกิจก่อสร้างจากการเพิ่มสัดส่วน Backlog ในโครงการที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้ STEC จะศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อกิจการในอนาคต ทำให้มีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต จากประสบการณ์ด้านงานก่อสร้างมาอย่างยาวนาน มีศักยภาพการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เป็นผู้นำในด้านการบริหารต้นทุน ที่มาพร้อมกับพันธมิตรที่มีความเชียวชาญ อีกทั้งยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ภายหลังจากการปรับโครงสร้างเป็น STECON มีการแบ่งประเภทของธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อบริหารจัดการ แบ่งแยกและจำกัดความเสี่ยงที่แตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นคงและเติบโตในอนาคต
“STEC มีประสบการณ์ด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาอย่างยาวนาน สามารถรักษา Backlog ใกล้เคียงระดับ 1 แสนล้านบาทได้อย่างต่อเนื่อง มีกำไรมาโดยตลอด รวมทั้งมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้บริษัทสร้างผลตอบแทนเงินปันผลในแก่นักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ เพื่อสร้างรายได้ประจำที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ สร้างโอกาสในการเข้าถึงธุรกิจที่มีการเติบโตสูงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” นายภาคภูมิ กล่าว