‘กลุ่มเจมาร์ท’ ขาดทุนดิ่งลงเหว 4,392 ลบ. เก็ง Q2 ต่ำสุด H2 ฟื้น ไล่หุ้นวิ่งยกแผง

HoonSmart.com>>กลุ่มเจมาร์ทสาหัสหนักยิ่งขึ้น ไตรมาส 2/66 รวม 5 บริษัทขาดทุนทั้งสิ้น-4,392 ล้านบาท มากกว่าถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ขาดทุน-1,030.9 ล้านบาท โดยเฉพาะ SINGER  ทรุดหนักถึง -2,396 ล้านบาท ลากแม่ คือ JMART ลงหลุมด้วย -611 ล้านบาท แม่ทัพใหญ่”อดิศักดิ์”มั่นใจเป็นจุดต่ำสุดของปี คาดจะฟื้นตัวในไตรมาส 3-4 ปลุกความเชื่อมั่นนักลงทุนไล่หุ้น”ครอบครัวเจ” วิ่งแรงยกแผง นำโดย SINGER กระโดดไกลที่สุด +15.44% เพราะราคาที่ผ่านมาลงลึกมาก และ CEO ยืนยันยอมเจ็บหนักครั้งนี้แล้วจะไม่มีการตั้งสำรองสูงขึ้นอีกต่อไป

” บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) ขาดทุนหนักยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของครอบครัวเจมาร์ทรวมถึงมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)อย่างรุนแรง โดยบริษัทเจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) มูลค่าเหลือเพียง 26,381.9 ล้านบาท ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ซิงเกอร์ 25% ขณะที่ SINGER มีค่าแค่ 7,129 ล้านบาท หลังจากราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 49 บาทในรอบ 52 สัปดาห์ ไหลลงอย่างรวดเร็ว วันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา ตกใจกับขาดทุนไตรมาส 1 ปิดที่ 13.50 บาท ล่าสุดอยู่ที่ 8.60 บาท มีเพียงบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT)ที่มีกำไรโดดเด่นในไตรมาสที่ 2 จำนวน 551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% มาร์เก็ตแคปสูงสุดในกลุ่ม 6.3 หมื่นล้านบาท ”

สาเหตุที่ทำให้บริษัทซิงเกอร์ฯประสบปัญหาขาดทุนมากยิ่งขึ้น เพราะการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นจำนวน 2,898 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 และรวม 6 เดือนที่ 3,795 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทย่อย คือบริษัทเอสจีแคปปิตอล (SGC)ที่ถือหุ้นประมาณ 75% ได้ตัดหนี้สูญกลุ่มลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสัญญาเช่าซื้อสุทธิหลังจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 917 ล้านบาท และได้บันทึกเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอและเหมาะสมต่อความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดจากลูกหนี้ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการสิ้นสุดโครงการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของโควิด 2019 และตั้งสำรองสำหรับกลุ่มลูกหนี้อื่นๆ ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิ.ย.2566  มีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 13,940 ล้านบาท ลดลง 4,368 ล้านบาทคิดเป็น 23.9%เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565

นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท SINGER กล่าวว่า กลุ่มบริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอต่อการดำเนินกิจการและชำระหุ้นกู้ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2566 กลุ่มบริษัท มีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินระยะสั้น จำนวน 5,158 ล้านบาท

ส่วนมุมมองในอนาคต บริษัทได้พิจารณาตั้งสำรองทั้งหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดจากการช่วยลูกหนี้ และผลขาดทุนจากการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือที่ได้ผ่านการตรวจสอบสภาพสินค้าในช่องทางต่างๆ จนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้วนั้น ซึ่งจะทำให้บริษัทไม่มีการตั้งสำรองที่สูงขึ้น และไม่สร้างผลกระทบต่อผลกระประกอบการอย่างหนักในอนาคต

นอกจากนี้บริษัทได้ปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยยะสำคัญในหมวดการขายและบริหาร ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงในอนาคต ทางด้านยอดขายที่ลดลง จากการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น บริษัทได้ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน และการเก็บเงิน เพื่อคุณภาพการขายและการเก็บเงินช่วยให้การอนุมัติดีขึ้น  บริษัทได้สร้างการเพิ่มช่องทาง และกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ การปรับโมเดลธุรกิจเพิ่มขึ้นในช่องทางร้านค้าปลีก และกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ส่งเสริมให้ยอดขายมีแนวโน้มปรับตัวที่ดีขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นเช่นกัน

ทางด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/2566 ขาดทุน 611 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากผลการขาดทุนในบริษัทร่วม ซิงเกอร์ฯ ขอให้นักลงทุนมั่นใจว่าเป็นจุดต่ำสุดของปี คาดว่าจะพลิกกลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกต่อผลประกอบการ เช่น  JMT มีการเติบโตของธุรกิจติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ  ซึ่งเพิ่งได้พอร์ตสินเชื่อหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันขนาดใหญ่เข้ามา   การเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ Jas Green Village บางบัวทอง ของบริษัทย่อย เจเอเอส แอสเซ็ท ในเดือนก.ย.2566 นี้ การเข้าสู่ High Season ของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจัดจำหน่ายมือถือ จะมีรุ่นใหม่ออกมาจำหน่าย พร้อมกับการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน “New Ecosystem” เพื่อต่อจิ๊กซอว์สร้างการเติบโตจาก Synergy ภายในกลุ่มบริษัท

ล่าสุด JMT เรือธงของเจมาร์ท ทำกำไรได้แข็งแกร่งที่ 551 ล้านบาททำสถิติสูงสุดรายไตรมาส รับยอดจัดเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นพร้อมมีกำไรจากการซื้อลูกหนี้เก็บเข้าพอร์ตสนับสนุนให้งวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.4% พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.34 บาท/หุ้น ขึ้น XD 24 ส.ค.66 กำหนดจ่าย 8 ก.ย.66 ตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจ

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นในกลุ่มเจมาร์ทปรับตัวขึ้นดีวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าซื้อขายเข้ามาอย่างคึกคัก คาดว่าจะเป็น Buy on Fact หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/66 ออกมาแล้ว อีกทั้งราคาหุ้นในกลุ่ม ก็ปรับฐานลงไปมากแล้วด้วย โดยหุ้น JMART แม้งบฯไตรมาส 2/66 ออกมาไม่ดี แต่ยังคาดหวังช่วงที่เหลือของปีนี้ผลงานจะฟื้นตัวขึ้นได้

สัญญาณทางเทคนิคมองหุ้น JMART มีแนวรับ 17.40 บาท แนวต้าน 18.00-18.4-20 บาท, JMT แนวรับ 40.50 บาท แนวต้าน 42.50 บาท, SINGER แนวรับ 7.80 บาท แนวต้าน 8.65 บาท และ SGC แนวรับ 1.42 บาท แนวต้าน 1.49 บาท