หุ้นลิสซิ่งกำไรดี Q2/66 คาดครึ่งปีหลังไฮซีซั่น

HoonSmart.com>> “ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น” (SAWAD) เปิดงบ ไตรมาส 2/66 กำไรสุทธิ 1,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จากงวดปีก่อน กวาดรายได้ดอกเบี้ย 3,443 ล้านบาท พุ่ง 79.5% พอร์ตสินเชื่อเติบโตแตะ 74,218 ล้านบาท  MTC-TIDLOR    รายได้ดอกเบี้ยสูง  นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มลิสซิ่งเป็นกลาง คาดกำไรครึ่งหลังโต  บล.หลวงแนะนำซื้อ TIDLOR 

 

บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 1,146.34 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.83 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,041.62 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.76 บาท ขณะที่งบรวมมีกำไรสุทธิ 1,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84 ล้านบาท หรือ 7.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,139 ล้านบาท

ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2566 กำไรสุทธิ 2,346.76 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.71 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,077.56 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.51 บาท

กำไรที่ดีขึ้นมาจากรายได้ดอกเบี้ย จำนวน 3,443 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,525 ล้านบาท หรือ 79.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีจำนวน 1,918 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อจากจำนวน 43,929 ล้านบาท ณ 30 มิ.ย.2565 เป็นจำนวน 74,218 ล้านบาท (ไม่รวมบริษัท เงินสดทันใจ) ณ 30 มิ.ย.2566

ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 1,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 659 ล้านบาท หรือ 59.0% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีจำนวน 1,117 ล้านบาท สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายการตลาดและขาดทุนจากการขายสินทรัพย์รอการขาย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขยายสาขาที่ประเทศเวียดนามและค่าใช้จ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะ

นอกจากนี้มีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 575 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า จำนวน 544 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัท ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากพอร์ตสินเชื่อของประเทศเวียดนาม และพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อตามการเติบโตของพอร์ต

ด้านต้นทุนทางการเงินจำนวน 483 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 300 ล้านบาทจากจำนวน 183 ล้านบาท ตามเงินกู้ยืมจากสถาบนัการเงินและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิจาก 26,463 ล้านบาท เป็น 67,490 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาด

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2566 บริษัท ได้ชำระเงินค่าหุ้นของ บริษัท เงินสดทันใจ ให้ธนาคารออมสิน เพื่อซื้อหุ้นจำนวน 49% ตามมติการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2566 ทำให้งบการเงินรวมไตรมาส 2/2566 ได้นำงบการเงินของบริษัท เงินสดทันใจ ซึ่งสถานะภาพเป็นบริษัทย่อยมารวมในงบแสดงฐานะทางการเงิน ทรัพย์สิน และหนี้สิน ตลอดจนส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อสุทธิ  เติบโต 103% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 33% เทียบกับไตรมาส 1/2566

ส่วนงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จของบริษัทไม่ได้รวมแสดงรายได้และค่าใช้จ่ายของบริษัท เงินสดทันใจ เนื่องจากการชำระเงินเกิดขึ้นในวันสิ้นงวดบัญชีโดยบริษัท ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย

ขณะเดียวกัน  MTC  และ TIDLOR  มีรายได้ดอกเบี้ยสูง 5,754 ล้านบาท และ  2,987 ล้านบาทตามลำดับในไตรมาสที่ 2  โดย MTC ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมากขึ้นกว่า 94% เป็นสูงกว่า 1,000 ล้านบาท  ส่วน TIDLOR  ตั้งสำรองลดลง 57.61% เพียง 284  ล้านบาท

นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ให้น้ำหนักกลุ่มเช่าซื้อเป็นกลาง (Neutral) มองครึ่งปีหลังจะเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ สินเชื่อจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก (H1/66) โดยผลประกอบการของบริษัทฯในกลุ่มเช่าซื้อมองเป็นจุด Bottom แล้ว โดยแนะนำ”ซื้อ”หุ้น SAWAD ให้ราคาเป้าหมาย 64 บาท คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง

ส่วน MTC แนะนำ”ถือ”ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท ผลประกอบการไตรมาส 2/66 รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองฯสูง จาก NPL ไตรมาส 2/66 ปรับตัวขึ้นมาเป็น 3.4% จากเดิม 3.2% และขาดทุนจากรถยึด อย่างไรก็ดี มองว่าครึ่งปีหลังสินเชื่อจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก ส่วน NPL แม้จะปรับตัวขึ้นแต่ก็ขึ้นในอัตราที่ลดลง ส่วนการตั้งสำรองฯอาจไม่มากไปกว่าครึ่งปีแรก

บล.พาย คงคําแนะนํา”ถือ”หุ้น MTC มูลค่าพื้นฐาน 40 บาท  กําลังเดินบนเส้นทางที่เหมาะสมด้วยการมุ่งเน้นคุณภาพสินเชื่อมากกว่าเร่งการเติบโตเชิงรุกในปี 2566 ซึ่งเอื้อให้มีค่าใช้จ่ายสํารองหนี้สูญที่ลดลงและกระตุ้นศักยภาพการทํากําไรขึ้น คาดถึงการฟื้นตัวปานกลางในครึ่งหลังปี 66 และมั่นคงมากขึ้นในปี 67 คาดว่ากําไรจะโตขึ้นทั้ง YoY และ HoH ขณะที่ประเมินว่าการเติบโตของกําไรปี 67 จะฟื้นตัวเป็น 23.5%YoY จากการตั้งสํารองหนี้ฯที่ลดลง และสินเชื่อที่โตต่อเนื่องจากที่คาดว่ากําไรสุทธิปี 66 จะลดลง 5.5% YoY

กําไรสุทธิในครึ่งแรกปี 2566 อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท คิดเป็น 47% ต่อประมาณการกําไรสุทธิทั้งปี ที่ 4,800 ล้านบาท (-5.5% YoY) ขณะที่คาดว่ากําไรสุทธิครึ่งหลังปี 66 จะโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ที่สูงขึ้น

บล.บัวหลวง ประเมินหุ้น TIDLOR ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 21% ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. จากความกังวลต่อสัดส่วนหนี้สินด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่เพิ่มขึ้น  แต่มองว่าสัดส่วนหนี้สินด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยจนถึงจุดพีคในไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 ไม่ว่าในกรณีใด TIDLOR ยังมีอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้เสียสูงถึง 266% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก”ถือ”เป็น”ซื้อ”

พร้อมประมาณการกำไรไตรมาส 3  ที่ 947 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% YoY และ 2% QoQ หนุนโดยสินเชื่อขยายตัว 20% YoY และ 4% QoQ ส่วนกำไรสุทธิปี 66 คาดที่ 3.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY คาดการณ์สินเชื่อเติบโตในปีนี้ที่ 18% YoY ซึ่งจะกลบผลกระทบของการตั้งสำรองฯที่สูงขึ้น

TIDLOR รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 927 ล้านบาท ลดลง 6% YoY และ 3% QoQ ซึ่งตรงกับที่คาด โดยกำไรก่อนการตั้งสำรองอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท เติบโต 22% YoY และ ทรงตัว QoQ ทั้งนี้กำไรครึ่งแรกของปี 66 คิดเป็น 50% ของประมาณการกำไรเต็มปีที่ 3.7 พันล้านบาท