HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยให้แนวรับ 1,410 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,440 และ 1,450 จุด หุ้นไทยเคลื่อนไหวตามการประชุมเฟด และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนค่าเงินบาท ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบคลื่อนไหวที่ระดับ 33.00-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าสุดรอบ 19 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.26 บาท ตามการพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (16-20 ก.ย.2567) ว่า ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,410 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,440 และ 1,450 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ การประชุมเฟด (17-18 ก.ย.) และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง เดือนส.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOE และ BOJ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนส.ค.ของ อังกฤษยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนก.ย. ของจีน
หุ้นปรับตัวลงช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ เนื่องจากเผชิญแรงขายทำกำไร หลังตลาดตอบรับปัจจัยบวกในประเทศอย่างประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลและกองทุนรวมวายุภักษ์ไปพอสมควรแล้ว ทั้งนี้หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงนำตลาดเนื่องจากมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลง หลังโอเปกปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกปีนี้และปีหน้าลง
ดัชนีหุ้นฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ท่ามกลางแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ตามหุ้นภูมิภาคจากการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยมีแรงซื้อคืนหุ้นหลายกลุ่มนำโดย แบงก์ ไฟแนนซ์และเทคโนโลยี อย่างไรก็ดีกรอบการปรับขึ้นเริ่มจำกัดในช่วงท้ายสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนรอติดตามผลการประชุมเฟด รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลรวมถึงสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ
ในวันศุกร์ที่ 13 ก.ย.2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,424.39 จุด ลดลง 0.23% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 65,359.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.61% ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 2.01% มาปิดที่ระดับ 351.58 จุด
ส่วนค่าเงินบาทระหว่างวันที่ 16-20 ก.ย. ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 33.00-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค หลังผลการประชุมนโยบายการเงิน การเปิดเผยตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ Dot Plots ของเฟด (17-18 ก.ย.)
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (19-20 ก.ย.) ธนาคารกลางอังกฤษ (19 ก.ย.) การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน รวมถึงข้อมูลอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค. ของอังกฤษ ยูโรโซน และญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
เงินบาทแข็งค่าสุดรอบ 19 เดือนตามทิศทางราคาทองคำโลกที่พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน เนื่องจากตลาดยังรอผลการประชุมเฟดวันที่ 17-18 ก.ย. นี้
เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อคืนของนักลงทุนท่ามกลางการปรับการคาดการณ์ของตลาดมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงที่มากกว่า 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. นี้
อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นและแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 19 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.26 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตามการพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก และการแข็งค่าของเงินเยน ซึ่งมีแรงหนุนจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้ เงินบาทน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากสถานะซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลง หลังธนาคารกลางยุโรปยังไม่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมหน้า (แม้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมรอบนี้) ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิตก็ออกมาแย่กว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 13 ก.ย. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (6 ก.ย. 67)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 9-13 ก.ย. 2567 นั้น ซื้อสุทธิหุ้นไทย 9,474 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 3,692 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 3,752 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 60 ล้านบาท)