บลจ.อเบอร์ดีนอัพเป้าหุ้นไทยสิ้นปี 1,500 จุด กำไรบจ.โต-ดิจิทัลวอลเล็ต-วายุภักษ์หนุน

HoonSmart.com>> บลจ.อเบอร์ดีน ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 67 แตะ 1,500 จุด แรงหนุนแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ตภายในก.ย. ด้าน “กองทุนวายุภักษ์” จ่อซื้อหุ้นในตลาดเดือนต.ค. หนุนเม็ดเงินเข้าตลาด ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน ผสมแรงซื้อจากกองทุน ThaiESG ปลายปี ด้านกำไรบจ.ปีนี้คาดเติบโตสองหลัก เศรษฐกิจฟื้นตัว ยกหุ้นเด่น “กลุ่มโรงพยาบาล-ค้าปลีกรายใหญ่-คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์” ลดน้ำหนักกลุ่ม “โรงแรม” ลงเป็น Neutral บาทแข็งกระทบหนี้นอก ขยายการลงทุนฉุดงบ

ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้มองดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อและเชื่อว่าตลาดผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว จึงปรับเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,500 จุด จากเดิมที่ 1,360-1,450 จุด โดยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) อยู่ที่ 90 บาทต่อหุ้นและ P/E ประมาณ 15 เท่า ในขณะที่แนวรับยังมองไว้ที่ 1,270 จุด หากเกิดเหตุการณ์ด้านลบหรือมีประเด็นที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาลอีก

สำหรับปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้น ได้แก่ 1.นโยบายของรัฐบาลหลังจัดตั้งครม.ใหม่ซึ่งจะมีการแถลงในสัปดาห์หน้า ซึ่งโครการดิจิทัล วอลเล็ตค่อนข้างชัดเจนวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท แจกเงินสดให้กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการรัฐและผู้พิการ ซึ่งมองว่าดีเจาะกลุ่มเปราะบางที่มีปัญหาจริง แต่ยังต้องติดตามรายละเอียดการจ่ายเงินและเงื่อนไข 2.เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว 3.กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หรือ EPS Growth เติบโตและ 4.เม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ ประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท ที่เตรียมเปิดขายนักลงทุนทั่วไป 16-20 ก.ย.นี้ รวมถึงกองทุน ThaiESG Fund ที่ปรับเงื่อนไขใหม่ที่มีการคาดการณ์เม็ดเงินลงทุนประมาณ 3-6 พันล้านบาท แม้จะไม่มาก แต่ปกติตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4 มักปรับตัวขึ้น

“ช่วงต้นปีอเบอร์ดีนมองบวกหุ้นไทยซึ่ง Laggard ตลาดทั่วโลกมา 2 ปีแล้ว ขณะที่ GDP และกำไรบจ.จะกลับมาเป็นบวก จากปีก่อนติดลบ ส่วน Valuation หุ้นถูกมาก P/E 14 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยในอดีตเทรด 17 เท่า จนถึงตอนนี้ปัจจัยที่มองไว้ยังเป็นไปตามคาด ในแง่ EPS Growth ไม่ได้เปลี่ยน แต่ระหว่างทางการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลล่าช้า ดิจิทัล วอลเล็ตก็ช้า รวมถึงมี 3 คดีทางการเมืองเข้ามากระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่ปัจจัยภายนอก แรงขายหุ้นเทคปรับฐานลง ซึ่งประเด็นนนี้หุ้นไทยไม่กระทบมาก แต่บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯที่อ่อนตัวลงจากต้นปีหลังจากสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว หนุนอัพไซด์ดัชนีหุ้นไทยเปิดมากขึ้น”นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยทั้งปี 2567 คาด GDP เติบโต 2.7% ซึ่งยังไม่รวมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จากภาคท่องเที่ยวยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี จากที่มีการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 33-35 ล้านคนในปีนี้ หลังจาก 8 เดือนเข้ามาแล้ว 23 ล้านคน ซึ่ง 4 เดือนหลังจากนี้น่าจะเพิ่มขึ้นและเข้าไฮซีซั่นไตรมาส 4 จึงมีโอกาสที่ตัวเลขทั้งปีจะเพิ่มเป็น 36-37 ล้านคนได้ จากฟรีวีซ่าจีนน่าจะหนุนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันเพิ่งกลับเข้ามา 60-70% จากช่วงก่อนโควิด

ด้านกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หรือ EPS Growth ปีนี้คาดว่าเติบโตประมาณ 10% จากครึ่งปีแรกเติบโต 5% YoY จึงคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังกำไรจะเติบโตตัวเลขสองหลักได้ จากฐานปีก่อนที่การเบิกจ่ายงบรัฐบาลล่าช้า ขณะที่กำไรบจ.ไตรมาส 2/2567 เติบโต 17% Y-Y ซึ่งกลุ่มที่เติบโตดีได้แก่ เกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน รีเทล อิเล็กทรอนิกส์และขนส่ง ขณะที่กลุ่ที่ถูกปรับลดคาดการณ์กำไรลง คือกลุ่มปิโตร กลุ่มที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีนที่มีปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย

ส่วนกองทุนวายุภักษ์ที่มีข่าวออกมาจะเริ่มซื้อหุ้นในตลาดวันที่ 1 ต.ค.นี้ ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาในตลาดหนุนดัชนีปรับตัวขึ้นทะลุ 1,400 จุด อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและการการรันตีผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุน แต่คาดการณ์หุ้นเป้าหมายที่กองทุนวายุภักษ์จะเข้าลงทุนหุ้นที่มี ESG ดี หากล้อตามดัชนี SET ESG ต้องมีเรทติ้งระดับ BBB ขึ้นไป แต่การเข้าซื้อหุ้นของกองทุนวายุภักษ์คาดว่าเป็นหุ้นที่มีเรทติ้งระดับ A ขึ้นไป คาดมีจำนวน 50 ตัว รวมทั้งเป้าหมายหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง 3% ขึ้นไป เพื่อสอดรับกับการการันตีผลตอบแทนของกองทุนให้กับผู้ลงทุน รวมถึงพิจารณาลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก จึงหนุนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นด้วย จึงมองหุ้นขนาดกลางและเล็กก็มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นหลังจากแผ่วลงในช่วงที่ผ่านมา

“กองทุนวายุภักษ์มีความเจนที่กำหนดวันเสนอขายหน่วยลงทุนแล้ว ซึ่งเม็ดเงินใหม่ของกองทุนขนาด 1-1.5 แสนล้านบาท สามารถมาชดเชยกับฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่ขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมต่างชาติที่ยัง Underweight หุ้นไทย หากเขาเห็นโอกาสและเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวกลับมา ก็จะดึงเงินเข้าตลาด รวมถึงฟันด์โฟลว์ที่คาดว่าจะไหลเข้าเอเชีย ก็น่าจะให้ไทยได้อานิสงส์ไปด้วย”นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยใน 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% มาอยู่ที่ 2% ซึ่งปีนี้เหลือการประชุม 2 ครั้ง ดังนั้นอย่างเร็วคาดว่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. เพื่อช่วยกลุ่มเปราะบาง และช่วยลดต้นทุนทางการเงินที่สูงลง จึงมองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์

สำหรับมุมมองในช่วงที่เหลือของปีนี้กลุ่มหุ้นที่ยังเติบโตได้ดี ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่ม Domestic Link ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน เช่น ค้าปลีกรายใหญ่ อย่าง CPALL, CPAXT และ Consumer Finance ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวโดยรวมอาจจะดี แต่กลุ่มโรงแรมบางแห่งมีหนี้ต่างประเทศ โอกาสจะขาดทุนจากค่าเงินหรือมีการเปิดโรงแรมใหม่จึงมีค่าใช่จ่ายสูงอาจทำให้ขาดทุนในช่วงแรก จึงมองหุ้นน่าสนมจลดลง จึงปรับลดน้ำหนักเป็น Neutral จากเดิม Overweight ยกเว้นว่ารัฐบาลจะมีมาตรการที่จูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ดี