KCG ฤกษ์ดีเข้าเทรด SET 3 ส.ค. โกยกำไร 58 ลบ.พุ่งขึ้น 81% Q1/66

HoonSmart.com>>”เคซีจี คอร์ปอเรชั่น”(KCG)  เคาะระฆัง นำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรก 3 ส.ค. นี้  ลุ้นราคาเหนือจองที่   8.50 บาท  P/E 17.33 เท่า มาร์เก็ตแคป  4,632.50 ล้านบาท  ชูผลงานเด่น ไตรมาสแรกปี 66  ความสามารถทำกำไรดีขึ้น อัตรากำไรสุทธิเพิ่มเป็น 3.4% จาก 2.4% รายได้โตมาจากปริมาณขายเพิ่มทุกผลิตภัณฑ์ บริษัทมีประวัติยาวนานกว่า 64 ปี ผู้นำผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น รวมถึงคุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ในวันที่ 3 ส.ค. 2566

KCG มีทุนชำระแล้ว 545 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (IPO) 155 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,317.50 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,632.50 ล้านบาท ราคาขายที่ 8.50 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 17.33 เท่า โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น

นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 64 ปี KCG ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ KCG เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตตลอดจนการยกระดับ KCG Logistics Park หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและแบบครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ KCG ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย

KCG มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ส่วนผู้ถือหุ้นหลักภายหลัง IPO ประกอบด้วย บริษัท กิมจั้ว กรุ๊ป และกลุ่มผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือหุ้นรวมกัน 71.56%

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯงวดไตรมาสแรกปี2566 มีกำไรสุทธิ 58 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 26.2 ล้านบาท เติบโต 81.4% เทียบกับกำไรสุทธิ 32 ล้านบาทหรือ 0.08 บาท โดยมีรายได้รวม 1,723.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 403.6 ล้านบาท เติบโต 30.6%เทียบกัยจำนวน 1,319.7 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น  460.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.7 ล้านบาทหรือ 15.7% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนทำได้ 398.2 ล้านบาท

สาเหตุหลักที่มีกำไรสูงมาจากปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ทุกประเภทเติบโต  ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ของสินค้าบางประเภทให้เล็กลง ส่งผลให้รายได้จากการขายเพิ่มมากขึ้น จากทั้งทางการขายให้ผู้บริโภค(B2C) และช่องทางการขายให้ผู้ประกอบการ (B2B)
“บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 3.4% จาก 2.4% แม้ว่ากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 27.0% จากระดับ 30.7%ในไตรมาสแรก”

ส่วนผลงานปี 2565 มีกำไรสุทธิ 241 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.62 บาท เทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 303 ล้านบาทหรือ 0.78 บาทต่อหุ้น

บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ แบรนด์ “Allowrie” ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ลาว สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้งยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น คุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลักที่เป็นที่นิยม เช่น “Imperial” “DAIRYGOLD” “bake master” “SUNQUICK” “Cookie choice” “Rosy” และ “Violet”

นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ “Arla” และ “Emmi” โดยสินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย ทั้งการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง ( B2C) การขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ( B2B) และช่องทางส่งออก