NUSA ลุ้นเพิ่มทุน 1.3 หมื่นลบ. ถือวินด์ฯกว่า 30% พลิกกำไรปีนี้ การเงินแกร่ง

HoonSmart.com>>”วิษณุ” ซีอีโอ “ณุศาศิริ” (NUSA) รับประกันไม่ซ้ำรอย STARK กลุ่มผู้ถือหุ้นวินด์ฯ มั่นใจ กล้าขนหุ้นมาแลกเพิ่มทุนพีพี 13,000 ล้านบาท ตีราคา NUSA 1 บาทเศษ บริษัทถือหุ้นวินด์เพิ่มเป็น 30% ยันไม่ถึงเกณฑ์แบ็คดอร์ ลิสติ้ง โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่เปลี่ยนแปลง ลั่นปีนี้พลิกมีกำไร หากเพิ่มทุนไม่สำเร็จ กางข้อมูลทรัพย์สินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ประเมินราคาใหม่สูงกว่านี้ ตุนที่ดินรอพัฒนากว่า 1,000 ไร่ หนุน 3 ขาธุรกิจแข็งแรง รอกำไรปี 67 ล้างขาดทุนเก่า เล็งปันผล

นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ (NUSA)แถลงประกาศถึงความแข็งแกร่งของณุศาศิริว่า วันนี้(13 ก.ค.2566) บริษัทรอให้ตลาดหลักทรัพยืและก.ล.ต.อนุมัติการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจง(พีพี)จำนวน 13,000 ล้านบาท ให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำนวน 40 ราย ที่รวมตัวตั้งเป็นบริษัท T1 ซึ่งจะเข้ามาแลกหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาทเศษ ซึ่งเป็นราคาที่มีการเจรจาเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ในตลาดซื้อขายที่ 0.90 บาท แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน ราคาในตลาดเหลือประมาณ 0.50 บาทเศษ จะต้องติดตามดูว่าผลจะออกมาอย่างไร นักลงทุนจะยอมแลกหุ้นที่ราคา 1 บาทเศษหรือไม่

วัตถุประสงค์ของการแลกหุ้นครั้งนี้ เพื่อต้องการถือหุ้นวินด์ฯเพิ่มขึ้นเป็น 30% เศษ จากปัจจุบันถือประมาณ 7.12% จะยิ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับณุศาศิริ เพราะวินด์มีกำไรมากกว่า 5,000 ล้านบาท บริษัทได้รับเงินปันผล 160 ล้านบาทในปี 2565 ปัจจุบันยังได้รับสัมปทานเพิ่ม ก็จะมีโอกาสได้กำไร และให้ผลตอบแทนมากขึ้น เมื่อรวมกับการเติบโตของ 3 ธุรกิจของบริษัท จะทำให้ผลดำเนินงานในปี 2567 มีโอกาสได้กำไรทุกไตรมาส ปัจจุบันสถานการณ์ก็ดีขึ้น จากที่เคยขาดทุนไตรมาสละ 200-300 ล้านบาท ลดลงเหลือ 100 ล้านบาท ส่วนปัญหาขาดทุนที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทได้บุกธุรกิจเกี่ยวกับท่องเที่ยว เมื่อเกิดโควิดก็ได้รับผลกระทบตามมา

ทั้งนี้ วินด์ฯมีการประมาณการกำไรในช่วง 3 ปีข้างหน้า(2566-2568)  อยู่ที่ ที่ 5.81 พันล้านบาท 5.77 พันล้านบาท และ 7.37 พันล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2565 มีกำไรสุทธิ 5.28 พันล้านบาท และกระแสเงินสดก่อนการจ่ายเงินปันผลก็เพิ่มขึ้นเป็น 4.06 พันล้านบาท 3.32 พันล้านบาท และ 5.16 พันล้านบาท จาก 3.57 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา

“บริษัทเข้าไปถือหุ้นวินด์ฯมากกว่า 30% และมีบริษัทลูกของวินด์ฯเข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน NUSA  เกือบ 25% ขณะที่การแลกหุ้นครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนรายบุคคลที่ถือหุ้นวินด์จัดตั้งบริษัทชื่อ T1 เข้ามาถือหุ้นของเราประมาณ 40% ยังไม่เข้าเกณฑ์วินด์ฯเข้าตลาดหุ้นทางอ้อม หรือแบ็คดอร์ ลิสติ้ง  แต่จะทำให้บริษัทรับเงินปันผลมากขึ้น ขณะที่กลุ่มของผม เคยถือ 20% ก็จะยอมเป็นผู้ถือหุ้นเล็กเหลือ 10% ไม่เป็นไรเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นโดยรวม ที่ผ่านมา เราเคยเพิ่มทุนพีพีมาก่อน เพื่อแลกหุ้นเด็มโก้(DEMCO)”นายวิษณุกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจทั้ง 3 ด้านหลัก ทั้งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทางด้านการแพทย์และพลังงาน ปัจจุบันมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง มีทรัพย์สินกว่า 15,589.75 ล้านบาท มีหนี้สินเพียง 6,302.30 ล้านบาท มูลค่าหุ้นทางบัญชี 0.78 บาท/หุ้น มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.68 เท่า ล่าสุดออกหุ้นกู้จำนวน 900 ล้านบาท มีนักลงทุนให้ความสนใจจองเกินจำนวนอย่างล้นหลาม หากมีการประเมินราคาใหม่ มูลค่าเพิ่มขึ้น  มูลค่าหุ้นทางบัญชีจะสูงกว่า 1 บาท/หุ้น

ปัจจุบันธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ มีที่ดินรอการพัฒนาอยู่อีกจำนวนมากซึ่งบริษัทได้ซื้อเข้ามานานแล้ว  บริษัทจะถูกบันทึกในงบการเงินที่มูลค่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าบริษัทมีทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงกว่าในงบการเงินอีกหลายพันล้านบาท ซึ่งทางบริษัทกำลังให้ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเข้าประเมินมูลค่าทางบัญชี ซึ่งเชื่อว่าจะมีมูลค่าต่อหุ้นสูงกว่ามูลค่าปัจจุบันอย่างมาก

ส่วนทางด้านการแพทย์ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลและคลินิกในประเทศไทย รวม 4 แห่ง ได้แก่ที่พระรามสอง เอกมัย ในโครงการณุศามายโอโซนเขาใหญ่ และที่อุดรธานี ส่วนในต่างประเทศมีที่เยอรมัน และโรงพยาบาลที่ประเทศจีน รวมมูลค่าการลงทุนกว่าหนึ่งพันล้านบาท ล่าสุดได้ลงทุนสร้างอาคารเพิ่มเติมบริเวณโรงพยาบาลพานาซี พระราม 2 อีกกว่า 200 ล้านบาท เพื่อเปิดศูนย์ศัลยกรรมครบวงจร คาดว่า จะเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาสที่ 3 นี้ และจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของหน่วยธุรกิจทางการแพทย์ต่อไป

“ณุศาศิริมีความมั่นคงทางการเงินอย่างมาก มีที่ดินรอการพัฒนา มี Hidden Value ในงบการเงิน ทุกหมวดธุรกิจของบริษัทเริ่มสร้างรายได้อย่างมั่นคง เราได้รับเงินปันผลจากธุรกิจพลังงานซึ่งเป็น Passive Income ให้กับบริษัท ซึ่งจะทำให้ณุศาศิริมีความมั่นคงทางธุรกิจและเติบโตขึ้นทุก ๆ ปี”

ส่วนกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ NUSA ชี้แจงข้อมูลโดยอ้างถึงงบการเงินในไตรมาสที่ 1/2566  3 ประเด็นนั้น ทาง NUSA ขอยืนยันเรื่องที่ 1.  การเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขการซื้อโรงแรมที่เยอรมันจากการซื้อทรัพย์สิน (โรงแรม รวมถึงสิทธิในใบรับรองใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรม ซึ่งได้ออกให้ไว้โดยถูกต้องตามกฏหมายของประเทศเยอรมัน รวมตลอดถึงสิทธิ ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า ตราสินค้าของทรัพย์สินที่ซื้อขาย) เป็นการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท พานาซี แฟร์วาลทุงส์ จึเอ็มบีเฮช  (PNCV) ผู้ถือหุ้นใน บริษัท บาดิชเชอร์ โฮเทลแฟร์วัลทุงส์ จีเอ็มบีเฮช   (BHV) (เป็นเจ้าของทรัพย์ตามสัญญาซื้อทรัพย์สินเดิม) สาเหตุที่ไม่รับเงินมัดจำคืนทันที เนื่องจาก ผู้ขายหุ้นใน PNCV คือบุคคลเดียวกับผู้ขายทรัพย์เดิม และปัจจุบันบริษัทได้รับการโอนกรรมสิทธิในหุ้น PNCV (เจ้าของโรงแรม) มาเป็นของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

2. รายการเกี่ยวกับบริษัท มอร์ มันนี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์  ในธุรกิจจัดคอนเสิร์ต Rolling Loud Thailandในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทได้รับชำระค่าหุ้นจำนวน 1.5 ล้านบาทแล้ว ยังคงเหลืออีกจำนวน 57.5 ล้านบาท โดยได้รับแจ้งขอขยายเวลาชำระคืนเงินเพิ่มทุนและเงินมัดจำ 57.5 ล้านบาท   เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบรายการค่าใช้จ่ายต่างๆในการจัดคอนเสิร์ต Rolling Loud Thailand 2023 ยังไม่แล้วเสร็จ ทางมอร์ มันนี่จึงขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 90 วัน ทั้งนี้บริษัทยังมีการคิดดอกเบี้ยในอัตรา 7-8%ตามต้นทุนการเงินหุ้นกู้ของ NUSA  นอกจากนี้พื้นที่ที่มีการพัฒนาแล้วเสร็จกว่า 100 ไร่ ก็พร้อมจะเปิดให้เช่าเพื่อการจัดคอนเสิร์ตกับทุกราย  สามารถสร้างรายได้ในอนาคต

3. ความสามารถของกลุ่มบริษัทในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง กรณีเจ้าหนี้ค่างานก่อสร้างของบริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม  โดย China International Economic and Trade Arbitration Commission มีคำชี้ขาดข้อพิพาทให้บริษัทชำระหนี้ของ Legend Siam ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นเพียง 50% นั้นข้อพิพาทในการชำระหนี้ ยังไม่เป็นเหตุให้ผิดนัดในมูลหนี้อื่น เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งศาลเป็นที่สิ้นสุด  ปัจจุบันอยู่ระหว่างนัดสืบพยานทั้งสองฝ่ายในศาลแพ่ง หากคำพิพากษาสิ้นสุดให้บริษัทชำระหนี้ ไม่ได้กระทบต่อสภาพคล่องและการชำระคืนหนี้ต่าง ๆ ของบริษัทฯแต่อย่างใด เนื่องจาก ณุศา เลเจนด์ สยาม มีมูลค่าทางบัญชี ที่ดินอยู่ที่ 626 ล้านบาท มีการประเมินใหม่ในปี 2566 เพิ่มเป็น 2,799 ล้านบาท ส่วนสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นมีมูลค่า 1,824 ล้านบาท รวมทั้งหมด 4,623 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 ขณะที่มีเจ้าหนี้ค่าก่อสร้างเพียง 1,723 ล้านบาท หากตัดขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพียง 1 ชิ้นก็สามารถชำระหนี้ได้ ปัจจุบันบริษัทมีภาระหนี้ เป็นหุ้นกู้ประมาณ 3,000 ล้านบาท หนี้ค่างานก่อสร้าง ณุศา เลเจนด์ สยามประมาณ 50% ของ1,700 ล้านบาท หนี้สถาบันการเงินจากบริษัทลูกประมาณ 200-300 ล้านบาท

ด้านราคาหุ้น NUSA พยายามยืนบวก แต่ไม่สำเร็จปิดที่จุดต่ำสุด 0.52 บาท ลดลง 0.03 บาทหรือ -5.45% จากระหว่างวันขึ้นไปสูงสุด 0.57 บาท วันที่ 13 ก.ค.2566