“เมืองไทย แคปปิตอล” เดินหน้าระดมทุนขายหุ้นกู้ 4 พันล้านบาท ชุดแรกอายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 4.1% ต่อปี ส่วน 4 ปี จ่าย 4.3%ต่อปี เสนอขาย 30 ต.ค.- 1 พ.ย.61 นำเงินชำระหนี้ ใช้เป็นทุนหมุนเวียน มั่นใจหนุนฐานะการเงินแกร่ง ดันผลงานโตต่อเนื่อง
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมไม่เกิน 4 พันล้านบาท โดยแบ่งการจัดสรรเป็น 2 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 เสนอขายมูลค่า 1 พันล้านบาท และเป็นหุ้นกู้สำรองเสนอขายเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 2 พันล้านบาท อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2564 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.10% ต่อปี ซึ่งจะจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้
ขณะที่ชุดที่ 2 เสนอขาย 1 พันล้านบาท และอีกไม่เกิน 1 พันล้านบาทเป็นหุ้นกู้สำรองเสนอขายเพิ่มเติม อายุ 4 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2565 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.30% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้
ทั้งนี้ การเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ เปิดให้จองซื้อหุ้นกู้ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.- 1 พ.ย.61 โดยมีธนาคารกรุงเทพ ,ธนาคารกรุงไทย ,ธนาคารกสิกรไทย ,ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย และ บล.ภัทร เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ขณะที่บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัดได้ให้อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable”
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และรองรับการขยายธุรกิจ รวมถึงนำไปจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
นายปริทัศน์กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ จะช่วยให้ฐานะการเงินของบริษัทฯมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะต้นทุนการเงินอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระยะยาว
สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯในปีนี้คาดว่าจะมียอดปล่อยสินเชื่อจะเติบโตที่ 40 % และคาดว่าครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น โดยช่วงครึ่งปีแรก 2561 บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 36,620 ล้านบาท และลูกหนี้คงค้าง 41,469 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาทุกอย่างเติบโตกว่า 40 % ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.72 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนแผนการเปิดสาขาปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเปิดสาขาประมาณ 600 สาขา เมื่อรวมกับสิ้นปีที่ผ่านมา มีจำนวนสาขาจนถึงขณะนี้ 3,200 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย แม้ว่าจะเปิดสาขาจำนวนมาก ทำให้มีการปล่อยสินเชื่อออกไปจำนวนมาก แต่ระดับหนี้เสียหรือ NPL กลับทรงตัวระดับต่ำกว่า 1.50% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัทฯมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เราจะมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่, ลูกหนี้คงค้างเติบโต 40% ในช่วงครึ่งปีแรกได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถบริหารงานได้ตรงตามเป้าไว้ทุกประการ และคาดว่ายอดปล่อยทั้งปีและลูกหนี้คงค้างจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ จึงไม่น่ามีปัญหา” นายปริทัศน์กล่าว
นอกจากนี้ แผนงานในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาไว้จำนวน 600 สาขา เมื่อรวมกับสาขาเดิมที่เปิดไปแล้วจึงคาดว่าภายในสิ้นปี 2562 ทางบริษัท จะมีสาขาทั้งสิ้น 3,800-4,000 สาขา และการมีสาขามากขึ้น จึงทำให้มั่นใจว่าในปี 2562 สามารถรักษาการเติบโตถึง 35 % ทั้งในด้านของการปล่อยสินเชื่อใหม่, ลูกหนี้คงค้าง และรวมทั้งผลกำไรของบริษัท ซึ่งจะเป็น New High ตลอดทุกปี และทุกไตรมาส