PTT โกยกำไร 3.55 หมื่นลบ.Q2/67 ดีเกินคาดได้บริษัทลูกหนุน

HoonSmart.com>>”ปตท.” (PTT) เปิดกำไรไตรมาส 2/67 จำนวน  3.55 หมื่นล้านบาท พุ่งขึ้นถึง 76.4% ได้บริษัทในเครือมีผลการดำเนินงานเติบโต ทั้งกลุ่มมีกำไรสต๊อกน้ำมัน ประมาณ 3,000 ล้านบาทพลิกจากปีก่อนขาดทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3.10% รับกำไรดี บล.คิงส์ฟอร์ดแนะนำซื้อ ราคาผ่านจุดต่ำแล้ว ให้เป้าหมาย 45 บาท แนวโน้มกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก EBITDA ที่แข็งแกร่งขึ้นจาก PTTEP และบริษัทโรงกลั่นขั้นปลาย ช่วยชดเชยการอ่อนแอของบริษัทเคมีภัณฑ์

บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยผลงานงวดไตรมาสที่ 2/2567 มีกำไรสุทธิ 35,469.39 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.25 บาท เพิ่มขึ้น 76.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20,106.89 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.70 บาท โดยรวม 6 เดือนปีนี้ มีกำไรสุทธิ 64,436.89 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 2.26 บาท เพิ่มขึ้น 34.35% จากที่มีกำไรสุทธิ 47,961.73 ล้านบาท หรือ 1.68 บาทต่อหุ้น

ในไตรมาส 2/2567 บริษัทปตท. มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 115,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,709 ล้านบาท หรือ 24.5% จากไตรมาส 2/2566 ที่จำนวน 92,625 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากปริมาณขายเฉลี่ยและราคาขายเฉลี่ยที่เฉลี่ยเพิ่มขึ้น

ส่วนกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น ทั้งจากกลุ่มโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ โดยกลุ่มโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนกับวัตถุดิบ รวมทั้งปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และกลุ่มอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เบนซีน (Benzene:BZ) กับวัตถุดิบเพิ่มขึ้น สำหรับธุรกิจการกลั่นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยหลักจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสต๊อกน้ำมันในไตรมาสที่ 2/2567 ประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสที่ 2/2566 มีผลขาดทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กำไรไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลงจาก 4.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็น 3.0 เหรียญสหรัฐฯ โดยหลักจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินน้ำมันดีเซล และน้ำมันอากาศยานกับน้ำมันดิบปรับลดลง

สำหรับกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นจากนโยบาย Single Pool แม้ว่าราคาขายโดยเฉลี่ยและปริมาณขายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นลดลงจากรายได้ที่ลดลง แม้ว่าต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับลดลงตามราคา Pool Gas แต่ธุรกิจ NGV มีผลขาดทุนลดลงจากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ที่ปรับลดลงตามราคา Pool Gas และปริมาณขายโดยรวมลดลง และธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นตามรายได้จากปริมาณการจองใช้ท่อส่งก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น ก

” ไตรมาสที่ 2/2567  มี EBITDA 115,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน มีการรับรูร้ายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของปตท. เป็นกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท โดยหลักจากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ และกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ บริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล  (PTTGC) และบริษัท ไทยออยล์(TOP) ขณะที่ไตรมาส 2 ปีก่อนมีผลกำไรประมาณ 300 ล้านบาท หลักๆมาจากกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของ PTTEP และ PTTGC   แต่เทียบกับไตรมาสแรกปีนี้  EBITDA  ลดลง 3,383 ล้านบาท หรือ  2.8%  โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น  โดยรวมครึ่งปีนี้มี EBITDA จำนวน  234,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  37,418 ล้านบาท หรือ 19%  ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ส่วนใหญ่จากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มมีประมาณ 5,000 ล้านบาท ขณะที่ใครึ่งแรกของปีก่อนมีผลขาดทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท”

ด้านการซื้อขายหุ้น  PTT เมื่อวันที่ 9  ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ผลจากกำไรที่ดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 1 บาทหรือ 3.10% ปิดที่ 33.25  บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 2,715.52  ล้านบาท

บล.คิงส์ฟอร์ดวิเคราะห์ว่า  ปตท.ยังคงอยู่ภายใต้ความท้าทาย  และยังคงแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมายที่ 45 บาท จากการประเมินมูลค่า SoTP เชื่อว่าราคาหุ้น PTT ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยังต้องใช้ความอดทนในการปรับราคาหุ้น โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก EBITDA ที่แข็งแกร่งขึ้นจาก PTTEP และบริษัทโรงกลั่นขั้นปลาย ซึ่งจะช่วยชดเชยกำไรสุทธิที่อ่อนแอจากบริษัทเคมีภัณฑ์