คอลัมน์ความจริงความคิด : มาประหยัดเบี้ยประกันรถกันดีกว่า (ตอนที่ 1)

โดย….สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน

แม้ว่าวันนี้โครงข่ายรถไฟฟ้าจะขยายแทบจะครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆใน กทม. กันไปหมดแล้ว ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นมาก อย่างผมเองก็ลดการใช้รถยนต์ไปเยอะ แต่ก็น่าแปลก ที่รถก็ยังติดเหมือนเดิม ก็คงเป็นเพราะทุกวันนี้รถยนต์รุ่นใหม่ออกมาเยอะมากโดยเฉพาะรถ EV ยอดจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค. 2566 กว่า 8,500 คัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ของปีนี้ เมื่อมีรถ ก็ต้องมีประกัน ในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความเสี่ยง การเมืองยังไม่นิ่ง เราก็ต้องประหยัดตังค์กันให้มากที่สุด แล้วอย่างนี้ ประกันรถก็ต้องซื้อ
เราจะมีวิธีประหยัดเบี้ยประกันรถกันอย่างไรดี

วันนี้จะมาคุยกันถึง 10 วิธีประหยัดเบี้ยประกันรถกันนะ
1. เลือกรถที่ซ่อมง่าย อะไหล่ไม่แพง
2. เลือกประเภทประกันรถที่เหมาะสม
3. เลือกทุนประกันที่เหมาะสม (ไม่ต่ำกว่า 70% ของมูลค่ารถ)
4. ส่วนลดติดกล้องหน้ารถยนต์ (Dash Cam) ลดได้ 5-10%
5. ส่วนลดประวัติดี (No Claim Bonus : NCB)
6. ส่วนลดระบุผู้ขับขี่ ลดได้สูงสุด 20%
7. ส่วนลดกลุ่ม/ส่วนลดหมู่ ลดได้ 10%
8. ส่วนลดค่าเสียหายส่วนแรก
9. ส่วนลดปลอดแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ ลดได้ 10%
10. เปรียบเทียบราคา และขอส่วนลดพิเศษหรือบริการเสริมจากโบรคเกอร์

วิธีที่ 1 เลือกรถที่ซ่อมง่าย อะไหล่ไม่แพง

การซื้อประกันรถ พูดง่ายๆ ก็คือ การซื้อประกันอุบัติเหตุให้รถของเรานั่นเอง เมื่อรถเจออุบัติเหตุ ก็ต้องซ่อม เหมือนเราเจออุบัติเหตุ ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ดังนั้น บริษัทประกันที่รับโอนความเสี่ยงกรณีรถเราเจออุบัติเหตุ ก็จะดูว่าความเสียหายที่บริษัทต้องรับแทนเรามีมากน้อยแค่ไหน ก็คือ ดูว่าถ้ารถเราต้องซ่อม ค่าอะไหล่แพงมากน้อยแค่ไหน ค่าซ่อมต้องเข้าศูนย์ของยี่ห้อรถอย่างเดียวหรือไม่ ถ้าค่าอะไหล่แพง การซ่อมต้องเข้าศูนย์ของยี่ห้อรถอย่างเดียว แสดงว่าความเสี่ยงที่บริษัทประกันจะต้องรับแทนเราก็มีเยอะ เบี้ยประกันก็จะแพงกว่ารถที่ซ่อมง่าย อะไหล่ไม่แพง มีอะไหล่มือสองที่เป็นของแท้ ราคาถูก หรือ อะไหล่ไม่แท้ แต่คุณภาพใช้ได้ เป็นทางเลือก และช่างอู่ต่างๆก็ซ่อมได้ไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์ ดังนั้นหากเราต้องการประหยัดเบี้ยประกันรถ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่การตัดสินใจเลือกซื้อรถเลยนะ

วิธีที่ 2 เลือกประเภทประกันที่เหมาะสม ชั้น 1, 2 ,3 ซ่อมศูนย์ หรือ ซ่อมอู่

ประกันรถยนต์มีหลายประเภทให้เลือกตั้งแต่ชั้น 1 ที่คุ้มครองความเสี่ยงทุกอย่าง (all risk) เบี้ยประกันจะแพงสุด จนถึงชั้น 3 ที่คุ้มครองเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น เบี้ยประกันจะถูกสุด เราจึงควรเลือกประเภทประกันที่เหมาะสมกับรถเราและพฤติกรรมการใช้รถของเรา อย่างเช่น

• ประกันชั่น 1 เหมาะสำหรับรถใหม่ เวลามีปัญหาเราก็อยากซ่อมให้รถกลับมาใหม่เหมือนเดิม หรือพวกมือใหม่หัดขับ เพราะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมาก และสำหรับคนที่งบประมาณถึงก็สามารถเลือกประชั้น 1 ไว้ เพื่อการคุ้มครองและได้ครอบคลุมทุกกรณี หากเราเลือกซ่อมศูนย์ เบี้ยประกันก็จะแพงกว่า เลือกซ่อมอู่

• ประกันชั้น 2+ คุ้มครองเหมือนประกันชั้น 1 ต่างตรงทุนประกันต่ำกว่า และไม่คุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณี ดังนั้นเหมาะกับรถที่ใช้งานเกิน 7 ปีแต่ไม่เกิน 15 ปี คนขับมีความระมัดระวัง ส่วนใครที่ชอบขับรถชนต้นไม้ หรือข้างทางบ่อย ๆ ประกันประเภทนี้ไม่เหมาะอย่างแน่นอน

• ประกันชั้น 2 คุ้มครองชีวิตร่างกาย การบาดเจ็บและทรัพย์สินเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ไม่มีการคุ้มครองรถผู้เอาประกัน แต่ให้ความคุ้มครองกรณีรถเราสูญหายหรือไฟไหม้ จึงเหมาะสำหรับคนที่ขับเป็นแล้วในระดับหนึ่ง แต่ต้องจอดรถในที่เปลี่ยวบ่อยๆ

• ประกันชั้น 3+ รับผิดชอบเฉพาะชีวิตและทรัพย์สินของคู่กรณี แต่ไม่รับผิดชอบความเสียหายของรถยนต์ รวมไปถึงไม่คุ้มครองรถยนต์สูญหายและไฟไหม้ น้ำท่วม เหมาะกับคนที่ใช้รถน้อย หรือมีความชำนาญในการขับรถ รถที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป รถที่จอดในที่ปลอดภัย และต้องการประกันภัยที่จ่ายเบี้ยน้อย

• ประกันชั้น 3 คุ้มครองเฉพาะรถคู่กรณี ไม่มีการคุ้มครองรถเราทุกกรณี แม้เราจะเป็นฝ่ายถูก

อ่านบทความอื่น
คอลัมน์ความจริงความคิด : เสาหลักแห่งการออมเพื่อเกษียณอายุ
คอลัมน์ความจริงความคิด : 8 ข้อเท็จจริงการเป็นหนี้คนไทย
คอลัมน์ความจริงความคิด : กรณีศึกษา ขายบ้านเก่า ซื้อบ้านใหม่ใน 1 ปี
คอลัมน์ความจริงความคิด : ขายบ้านเก่า ซื้อบ้านใหม่ใน 1 ปี ประหยัดภาษีได้เท่าไหร่
คอลัมน์ความจริงความคิด : ขายบ้านเก่า ซื้อบ้านใหม่ใน 1 ปี
คอลัมน์ความจริงความคิด : PM2.5 กับความเสี่ยงสุขภาพ
คอลัมน์ความจริงความคิด : กู้ร่วม
คอลัมน์ความจริงความคิด : หรือเราต้องบริหารความเสี่ยงบนการบริหารความเสี่ยง?