HoonSmart.com>>”คีรี กาญจนพาสน์”เปิดใจหลังศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ กทม.-KT ชำระหนี้ค่า O&M 1.17 หมื่นล้านบาท หวังลูกหนี้เข้าใจใช้แนวทางนี้จ่ายหนี้ก้อนอื่นๆ ดันหนี้ต่อทุนลดเหลือ 1.85 เท่า เตรียมคืนเจ้าหนี้ ปรับปรุงสถานี คาดรายได้ปี’67/68 บวก ด้านราคาหุ้นปิดเพิ่มขึ้น 3.83%
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) กล่าวว่า วันที่ 26 ก.ค.2567 ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาให้กรุงเทพมหานคร และ บริษัท กรุงเทพธนาคม (KT) ร่วมกันชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง(O&M)โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 11,755 ล้านบาทพร้อมอัตราดอกเบี้ย ที่อิงอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) บวก 1% ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้อง (15 ก.ค.2564)ไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นให้แก่บีทีเอส ซึ่งจะต้องชำระเงินภายใน 180 วัน นับจากวันที่ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษา หากรวมหนี้ก้อนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ฟ้องพร้อมดอกเบี้ย ทาง กทม.กับ KT จะต้องจ่ายให้กับ BTS ประมาณ 39,000 ล้านบาท
“เป็นวันที่รอคอยมานานแสนนาน เป็นวันที่ดีใจ เพราะเชื่อว่าคำตัดสินที่ออกมา ทำให้ทางลูกหนี้เข้าใจแล้วว่า สัญญาไม่มีอะไรผิด การจัดซื้อจัดจ้างไม่มีอะไรผิด ซึ่งเราคาดหวังว่าจะได้รับการชำระเงินทั้งก้อนจำนวน และอยากให้ช่วยคิดด้วยว่าบริษัทต้องไปกู้เงินมาเหมือนกัน หรือจะชำระอย่างไรแบบไหน สามารถคุยกันได้”นายคีรี กล่าว
นายคีรี กล่าวว่า เราจ่ายก่อนได้ ทำงานก่อนได้ แต่ทำแล้วต้องเก็บตังค์ได้ และคำตัดสินนี้เป็นการยืนยันว่าสัญญาถูกต้องแล้ว ผมก็เชื่อว่าตั้งแต่วันนี้ไป ทุกๆ เดือน ทางกทม.จะชำระค่า O&M ให้เราได้อย่างสบายใจ จากที่ผ่านมาทางกทม.มีข้อสงสัยว่าสัญญาถูกต้องตามกฎหมายไหม
หลังจากที่บริษัทได้รับชำระหนี้เงินก้อนนี้ จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ของบริษัทลดลงมาเหลือ 1.85 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.50 เท่า ซึ่งจะทำให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในการนำไปใช้หมุนเวียนภายในบริษัท โดยเฉพาะการนำไปปรับปรุงสถานีบริการให้ทันสมัยมากขึ้น หลังจากที่เปิดใช้บริการมาเป็นเวลาร่วม 30 ปี
นอกจากนี้ จะมีการนำไปชำระคืนเจ้าหนี้ ที่คอยสนับสนุนเงินกู้ให้กับบริษัทฯมาโดยตลอด โดยที่ผ่านมาบริษัทฯต้องรับภาระอัตราดอกเบี้ยจากการกู้เงินวันละ 7 ล้านบาท แม้วันนี้จะชนะคดีแล้วได้ดอกเบี้ยมา 8% เป็นเพียงการชดเชย แต่ไม่ใช่สิ่งที่บริษัทดีใจ สิ่งที่บริษัทต้องการคือการมีเงินไปลงทุนต่อ ซึ่งสามารถที่ทำ IRR ได้ไม่ต่ำกว่า 9% และถ้าจะให้คุ้มที่สุดคือต้องได้ IRR 12%
นายคีรี กล่าวว่า บีทีเอส กรุ๊ป มีบริษัทลูกที่ทำธุรกิจหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการลงทุนทำรถไฟฟ้า คือ บีทีเอสซี ซึ่งปีที่ผ่านมามี EBITDA กว่า 8,000 ล้านบาทซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ปีบัญชีใหม่ที่จะมีการปิดงบเดือนมีนาคม 2568 เชื่อว่ารายได้จะออกมาเป็นบวกและเป็นไปตามประมาณการณ์รายได้ของปี 2567/2568
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส กล่าวว่า ทางกทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคมมีหนี้ค่าจ้างงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง(O&M) กับบีทีเอส 39,000 ล้านบาท ดังตาราง
ทั้งนี้ หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา ให้มูลหนี้ที่บริษัทฟ้องครั้งที่ 1 ได้รับการชำระ เชื่อว่าจะไม่ต้องยื่นฟ้องหนี้ก้อนอื่น
กรุงศรี ให้เป้า 6.40 บาท
บล.กรุงศรี ระบุว่า หลังจากที่บีทีเอสชนะคดี และได้รับการชำระหนี้ จะช่วยหนุนสถานะกระแสเงินสดของ BTS เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีการลงรายการนี้ในงบดุลเป็นลูกหนี้ค้างรับที่ยังไม่ได้ชำระ และจะส่งผลดีต่อคดีความในลักษณะเดียวกันที่บีทีเอสยื่นฟ้องกทม.และกรุงเทพธนาคมให้ชำระเงิน 1.10 หมื่นล้านบาท บวกดอกเบี้ย รวมถึงการชำระค่าบริการในอนาคตด้วย
ทั้งนี้ คงคำแนะนำซื้อหุ้น BTS โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 6.40 บาท โดยอิงจากธีมที่ว่าราคาหุ้นสะท้อนข่าวร้ายไปเกือบหมดแล้ว
สำหรับ ราคาหุ้น BTS ปิดวันที่ 30 ก.ค.2567 ที่ 4.34 บาท เพิ่มขึ้น 3.83% มูลค่าการซื้อขาย 1,444.99 ล้านบาท ติดอันดับ 6 ของบริษัทที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด