FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่น “ซบเซา” เป็นครั้งแรกรอบ 8 เดือน

HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยการจัดตั้งรัฐบาลจะหนุนความเชื่อมั่นได้มากสุด ส่วนปัญหาการเมืองหลังเลือกตั้งจะฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากสุด โด่ยหมวดธุรกิจธนาารน่าสนใจมากที่สุด ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนพ.ค. 2566 (สำรวจระหว่างวันที่ 22—31 พ.ค. 2566) พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 77.70 ปรับลดลง 26.8% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยนักลงทุนมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ปัญหาการเมืองหลังการเลือกตั้ง รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และการเก็บภาษีตลาดทุน

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพ.ค. 2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (สิงหาคม 2566) อยู่ในเกณฑ์“ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ลดลง 26.8% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 77.70

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา”

หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ปัญหาการเมืองหลังการเลือกตั้ง

“ผลสำรวจ ณ เดือนพฤษภาคม 2566 รายกลุ่มนักลงทุนพบว่า มีเพียงความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 14.3% อยู่ที่ระดับ 100.00 ในขณะที่กลุ่มอื่นปรับลดลง โดยนักลงทุนบุคคลปรับลด 24.0% อยู่ที่ระดับ 73.61 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 18.5% อยู่ที่ระดับ 91.67 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลด 40.0% อยู่ที่ระดับ 75.00

​SET Index ในครึ่งแรกของเดือนพ.ค. 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.2566 สวนทางกับตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวลงจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและความล่าช้าในการยกระดับเพดานหนี้สาธารณะ อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของเดือน SET Index ปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก จากความกังวลต่อปัญหาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งและนโยบายเศรษฐกิจ และกลับมาปรับขึ้นในช่วงปลายเดือนหลังจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับ MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดย ณ สิ้นเดือนพ.ค.2566 SET index ปิดที่ 1,533.54 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 กว่า 33,047 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 97,006 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ที่ 54,819 ล้านบาท

​ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจหลักทั่วโลกที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อาจกดดันให้ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม และส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ อีกทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความรวดเร็วในการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งหากล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อการอนุมัติร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 รวมถึงความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ได้ประกาศออกมา อาทิ นโยบายกระตุ้นการบริโภค นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายพลังงาน เช่น การปรับลดค่าไฟ รวมถึงนโยบายด้านภาษี”