STARK จุก ผิดนัดหุ้นกู้ 9 พันลบ.ลามหนี้การเงิน ขอเจรจา

HoonSmart.com>>”สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK)”ยอมรับผู้ถือหุ้นกู้ 2 รุ่น รวม 2,241 ล้านบาท ไม่ยกเว้นเหตุผิดนัดให้ ใช้สิทธิเรียกให้จ่ายเงินต้น-ดอกเบี้ยใน 30 วัน ส่งผลต่อเนื่องผิดนัดไขว้ หุ้นกู้ที่เหลือ 3 รุ่น หนี้ 6,957.4 ล้านบาท และเจ้าหนี้ทางการเงินอื่นๆ  บริษัทยังประเมินภาระไม่ได้ ขอเจรจา เพื่อสร้างความเป็นธรรมกับเจ้าหนี้ทุกราย ด้านหุ้นเปิดเทรดวันแรกดิ่งแรงตามคาด ปิดที่ 0.18 บาท ร่วงแรงถึง 92%  กดมาร์เก็ตแคปจาก 3.1 หมื่นล้านบาท เหลือแค่ 2 พันล้านบาท  นักกลยุทธ์แนะขายทิ้ง

นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ กรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ลงนามในจดหมายที่ส่งถึงตลาดหลักทรัพย์ว่า การประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท รุ่น STARK239A และ STARK249A มีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัดและใช้สิทธิ เรียกให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยถึงกำหนดชำระโดยพลัน (ภายใน 30 วัน)  จึงเป็นเหตุให้บริษัทมีภาระหนี้ทางการเงินที่ต้องชำระอย่างเร่งด่วน และยังก่อให้เกิดเหตุผิดนัดไขว้ (cross default) ภายใต้สัญญาทางการเงินอื่น ๆ ทั้งหลาย ทำให้เจ้าหนี้ทางการเงินอื่นๆ ของบริษัทสามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้หนี้ทางการเงินเหล่านั้นถึงกำหนดชำระทันที

ในเบื้องต้น บริษัทประเมินว่าจะมีหนี้ที่เกิดการผิดนัด ได้แก่ หนี้หุ้นกู้รุ่น STARK239A และ STARK249A ซึ่งมีเงินต้นค้างชำระรวม 2,241 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นกู้อีก 3 ชุดได้แก่ STARK245A, STARK255A และ STARK242A ซึ่งมีเงินต้นค้างชำระรวม 6,957.4 ล้านบาท เกิดการผิดนัดไปด้วย

ส่วนของเจ้าหนี้ทางการเงินอื่นๆ ที่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดในลักษณะเดียวกัน บริษัทมิได้นิ่งนอนใจ และกำลังพิจารณาทำการสื่อสาร เจรจา หาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ดังกล่าวอยู่ เพื่อให้เจ้าหนี้ระงับซึ่งการใช้สิทธิดังกล่าว จึงยังไม่สามารถสรุปยอดหนี้ที่อาจมีการใช้สิทธิในแบบเดียวกันได้ เนื่องจากเหตุแห่งการเรียกชำระหนี้โดยพลันของหุ้นกู้เพิ่งจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี เนื่องจากบริษัทอยู่ในระหว่างการเตรียมแผนธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนแผนธุรกิจสำรอง เพื่อรองรับผลประกอบการตามงบการเงินประจำปี 2565 ที่จะเปิดเผยภายในวันที่ 16 มิ.ย.2566 บริษัทจะรวมการดำเนินการใดๆ ในส่วนของหุ้นกู้ในแผนธุรกิจและแผนสำรองดังกล่าวและเปิดเผยแนวทางในการดำเนินการของบริษัทเพิ่มเติมในภายหลัง

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้ทางการเงิน และเจ้าหนี้ต่าง ๆ บริษัทกำลังขอเจรจากับเจ้าหนี้ทางการเงินที่สำคัญทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัท เพื่อมิให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ใช้สิทธิแบบเดียวกัน  ขณะเดียวกันบริษัทก็พิจารณาถึงความเสี่ยงอันเกิดจากการกระทำใด ๆ ที่อาจถือเป็นการเลือกปฏิบัติและให้เปรียบเจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เหนือเจ้าหนี้รายอื่น บริษัทจึงเห็นว่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มใด ๆ เป็นการเฉพาะ เพราะอาจถูกเจ้าหนี้กลุ่มอื่น เพิกถอนหรือส่งกระทบในทางลบต่อการเจรจากับเจ้าหนี้กลุ่มอื่น ดังนี้ จึงควรรอให้ผลของการเจรจาสิ้นสุดลงว่าจะบริหารการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้และกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรโดยเท่าเทียมกัน ก่อนดำเนินการชำระหนี้ใด ๆ

จากงบการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 ก.ย.2565  STARK มีหนี้สินรวม 38,362 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 31,311 ล้านบาทและหนี้สิน ไม่หมุนเวียน 7,051 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ประมาณ 8,600 ล้านบาท

ด้านการเปิดซื้อขายหุ้น STARK ชั่วคราว(1-30 มิ.ย.2566) ปรากฎว่านักลงทุนพร้อมใจกันเทขายหุ้นวินาทีแรก เปิดที่ระดับ 0.25 บาท ต่ำกว่าราคาครั้งหลังสุดที่ 2.38 บาท ถึง 2.13  บาทหรือคิดเป็น 89%  ระหว่างวันดิ่งลงแรงต่ำสุด 0.13 บาท ก่อนปิดที่ 0.18 บาท ร่วง 2.20 บาทหรือทรุด 92.44% มูลค่าการซื้อขาย 1,111 ล้านบาท  ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ที่มีอยู่จำนวน 31,907 ล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 2,143 ล้านบาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าไม่มีหุ้น STARK ในพอร์ตก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งจะดีกว่า แต่ถ้ามีของก็ตัดใจขายไป เพราะต้องมาประเมินธุรกิจกันใหม่ ขนาดงบฯยังออกไม่ได้เลย และหุ้น STARK ก็จะเทรดแค่เปิดซื้อขายเพียง 1 เดือนเท่านั้น ขายเอาต้นทุนกลับคืนมาบ้างดีกว่า

สำหรับนักลงทุนสถาบัน กองทุนที่มีของก็คงจะต้องลด Position ลงมา เพราะบริษัทไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นได้ เห็นได้ว่าการเทรดหุ้น STARK ช่วงเช้าราคาเคลื่อนไหวได้แถว 0.30 บาท และก็ปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ ซึ่งกองทุนที่มีหุ้นอยู่คงจะต้องลดเปอร์เซนต์การถือออกไปก่อน หากไม่มีก็ไม่เสี่ยง ก็ต้องตัดใจ เพราะกราฟที่เห็นราคาหุ้น STARK ก็ลงเป็นขั้นบันไดเรื่อย ๆ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หุ้นตัวนี้จึงมองว่าไม่ยุ่งดีกว่า