บล.กสิกรฯ วางแนวรับ 1,475 จุด จับตา 4 ปัจจัยกดดันสัปดาห์หน้า

HoonSmart.com>> บล.กสิกรไทย แนะจับตา 4 ปัจจัย ส่งออกเดือนเม.ย. ฟันด์โฟลว์ ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ วางแนวรับสัปดาห์หน้า (22-26 พ.ค.) หากหลุด 1,500 จุด ถัดไปที่ 1,475 จุด ขณะที่แนวต้าน 1,535 และ 1,555 จุด ตามลำดับ ส่วนค่าเงินบาท “ธนาคารกสิกรไทย” ให้กรอบเคลื่อนไหว34.00-34.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย มองหุ้นสัปดาห์หน้า (22-26 พ.ค.) ว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,500 และ 1,475 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,535 และ 1,555 จุด ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนเม.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนพ.ค. (เบื้องต้น) ยอดขายบ้านใหม่ รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเม.ย. บันทึกการประชุมเฟด และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนพ.ค. ของจีน ดัชนี PMI เดือนพ.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น และยูโรโซน ตลอดจนดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเม.ย. ของอังกฤษ

หุ้นไทยปิดต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี 2 เดือน ท่ามกลางแรงฉุดจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวลงตั้งแต่ต้นสัปดาห์ หลังนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับนโยบายของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าไฟฟ้าและลดปัญหาการผูกขาด ซึ่งกระตุ้นแรงขายหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้าและสื่อสาร นอกจากนี้ หุ้นไทยยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากความกังวลต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายยังไม่ส่งสัญญาณถึงโอกาสของการปรับลดดอกเบี้ย อนึ่ง หุ้นไทยฟื้นตัวช่วงสั้นๆระหว่างสัปดาห์ก่อนจะร่วงลงต่อในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนยังรอติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง

ในวันศุกร์ (19 พ.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,514.89 จุด ลดลง 2.98% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 56,210.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.14% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 4.15% มาปิดที่ระดับ 480.76 จุด

ส่วนค่าเงินบาทสัปดาห์ถัดไป (3-7 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.00-34.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือนที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ช่วงต้นสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ของไทยที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด และแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยในประเด็นการจัดตั้งรัฐบาล และแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน นอกจากนี้สกุลเงินเอเชียในภาพรวมก็อ่อนค่าลงตามเงินหยวน ซึ่งถูกกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากบอนด์ยีลด์ที่ขยับขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีและเจ้าหน้าที่เฟดยังมีท่าทีในเชิงคุมเข้ม ซึ่งลดทอนโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าขึ้นท่ามกลางความหวังว่า จะเห็นความคืบหน้าของผลการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

ในวันศุกร์ที่ 19 พ.ค. 2566 เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 34.50 ก่อนจะปิดตลาดที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (12 พ.ค.)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 15-19 พ.ค. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 10,679 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 17,741 ล้านบาท (ขายสุทธิ 17,671 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 70 ล้านบาท)