GULF กำไร 3,850 ลบ. Q1/66 เพิ่มขึ้น 13% คาดรายได้ทั้งปีโต 50%

HoonSmart.com>> “กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) โชว์งบไตรมาส 1 ปี 66 กำไรสุทธิ 3,850 ล้านบาท เติบโต 13.4% กวาดรายได้ 29,083 ล้านบาท จากธุรกิจโรงไฟฟ้า รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH เพิ่มขึ้น ส่วนปี 66 คาดรายได้เติบโต 50% แรงขายหุ้นยังคงมีออกมา บล.ทิสโก้แนะนำถือ ตีมูลค่าเหมาะสม 48 บาท ด้านดัชนีหุ้นลบ 1.54 จุด  การเมืองยังไม่นิ่ง-รอดูผลเจรจาเพดานหนี้สหรัฐ นักลงทุนต่างชาติขาย 1,111 ล้านบาท  TU-CPF ซื้อหุ้นคืนจากตลาดอย่างต่อเนื่อง  

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 โดยมีรายได้รวม 29,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จาก 22,453 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2565 และมีกำไรจากการดำเนินงาน 3,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จาก 3,257 ล้านบาท  โดยปัจจัยหลักมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ครบทั้ง 4 หน่วย (รวม 2,650 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2564 – 2565 เทียบกับในไตรมาส 1/2565 ที่รับรู้รายได้และกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC เพียง 2 หน่วย (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ส่งผลให้กลุ่ม IPD มีกำไรจากการดำเนินงาน เท่ากับ 1,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 550 ล้านบาท หรือ 58% YoY

อีกปัจจัยหนึ่งมาจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนที่ขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรม โดยสาเหตุหลักมาจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับค่า Ft เฉลี่ยสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ประเภทบ้านอยู่อาศัย ที่เพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น โดยค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 441.56 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2565 มาเป็น 496.39 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2566 และค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.0139 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 1.5492 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 1/2566

นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 36 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2565 มาเป็น 103 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 188% YoY เนื่องจากต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงจาก 1,120 บาท/ตัน เป็น 963 บาท/ตัน อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่ม GJP จำนวน 428 ล้านบาท ลดลง 31% YoY โดยสาเหตุหลักมาจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ IPP 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้ากัลฟ์ หนองแซง (GNS) และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ อุทัย (GUT) ที่ได้รับอัตราค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment Rate) ลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

ในไตรมาส 1/2566 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานจาก INTUCH จำนวน 1,247 ล้านบาท โตขึ้น 13% จาก 1,100 ล้านบาท  เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ AIS และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรหลัก จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ในประเทศโอมาน จำนวน 150 ล้านบาท ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จครบทั้ง 326 เมกะวัตต์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566

นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน เต็มไตรมาสจากโครงการที่เข้าลงทุนในปี 2565 ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation จำนวน 282 ล้านบาท โครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว Thai Tank Terminal จำนวน 73 ล้านบาท และจาก THCOM จำนวน 63 ล้านบาท โดยปัจจัยที่กล่าวข้างต้น สามารถชดเชยส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งในเดือนธันวาคม 2565 GULF ได้จำหน่ายหุ้น 50.01% ที่ถือใน BKR2 Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้า BKR2 ให้แก่ Keppel Group ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2566 มีส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง

ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 8,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับ 7,075 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2565 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) เท่ากับ 28.0% เทียบกับ 31.5% ในไตรมาส 1/2565 โดยเหตุผลหลักมาจากกำไรของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ลดลงภายหลังจากที่จำหน่ายหุ้นใน BKR2 Holding ออกไปเมื่อเดือนธันวาคม 2565

กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 1/2566 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 3,850 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจาก 34.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 4/2565 เป็น 34.26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.62 เท่า สูงขึ้นจาก 1.56 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เนื่องจากได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 20,000 ล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2566 เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้บางส่วน รวมถึงได้เบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% จากโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2566 ซึ่งยังเป็นไปตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ภายใต้กลุ่ม IPD หน่วยที่ 1 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2566 และหน่วยที่ 2 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการในวันที่ 1 ต.ค. 2566 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 ซึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 90 – 100 เมกะวัตต์ในปีนี้

นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 GULF ได้เข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation (1,200 เมกะวัตต์) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ส่งผลให้กำลังการผลิตในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับปี 2565

สำหรับแผนธุรกิจของ GULF ในปี 2566 จะเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 40% ภายในปี 2578 ซึ่งจะมาจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และอังกฤษ

สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ยังเป็นไปตามแผนที่กำหนด โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 มีกำหนดจะถมทะเลแล้วเสร็จและจะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) ในปี 2567 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มีกำหนดจะเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือ F1 และ F2 ในปี 2569 และปี 2573 ตามลำดับ ในส่วนของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) นั้น มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568

นอกจากนี้ ความคืบหน้าของธุรกิจดิจิทัลยังเป็นไปตามแผน โดยธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่ร่วมลงทุนกับ Binance คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเดือนมิถุนายน 2566 และคาดว่าจะเปิดดำเนินการซื้อขายภายในสิ้นปีนี้ ส่วนธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS นั้น มีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในกลางปีนี้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2568

ด้านบล.ทิสโก้มอง GULF ทำกำไรไตรมาสแรกเป็นไปตามคาด ส่วนไตรมาส 2 คาดหวังจะสามารถมีกำไรแข็งแกร่ง เนื่องจากจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของธุรกิจด้านไฟฟ้า และหน่วยแรกของ GULF PD เชื้อเพลิง IPP (663 MW) เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในวันที่ 31 พ.ค. 2566 อาจจะชดเชยการดำเนินงานงานที่แย่อย่างต่อเนื่องของ Jackson และ BKR 2 ได้

” เรายังคงแนะนำถือ ให้มูลค่าเหมาะสมที่ 48 บาท “บล.ทิสโก้ระบุ

ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 16 พ.ค.66 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,539.84 จุด ลดลง 1.54 จุด หรือ -0.10% มูลค่าซื้อขาย 53,185.45 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,111 ล้านบาท ด้านนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,471.23 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 316.66 ล้านบาท  หุ้นขนาดใหญ่ตกเป็นเป้า GULF ยังคงถูกขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ราคาลงไปต่ำสุดที่ 46.75 บาทก่อนฟื้นมาปิดที่ 47.75 บาท ลดลง 0.25 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 3,185 ล้านบาท  ส่วน TU  และ CPF   ได้ซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้เคลื่อนไหวทรงตัวหลังปัจจัยการเมืองยังไม่นิ่ง และน่าจะอึมครึมไปอีกสักพัก คล้ายคลึงกับตลาดต่างประเทศ โดยยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้บวกเล็กน้อย ในช่วงรอดูผลการเจรจาเพดานหนี้ของสหรัฐในคืนนี้ ซึ่งคาดว่าจะยังไม่ได้ข้อยุติโดยเร็ว

ช่วงนี้ปัจจัยที่จะต้องติดตามเป็นตัวเ,ลขเศรษฐกิจของประเทศสำคัญ อย่างจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ เป็นต้น ส่วนในประเทศติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (17 พ.ค.) ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ลักษณะพักตัว หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา พร้อมให้แนวรับ 1,530 จุด แนวต้าน 1,550 จุด