JMART เล็งออกหุ้นกู้ 3 พันลบ. วางหุ้น JMT เป็นหลักประกัน

HoonSmart.com>> ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกัน” เจมาร์ท กรุ๊ปฯ” (JMART) วงเงิน 3,000 ล้านบาทที่ BBB แนวโน้ม “ลบ”จากภาระหนี้สูงทิศทางเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ปีข้างหน้า ใช้หลักประกันเป็นหุ้น”เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส” (JMT) เรทติ้งของหุ้นกู้ต่ำกว่าองค์กรที่ BBB+ สะท้อนถึงความด้อยกว่าในเชิงโครงสร้างภาระหนี้เงินกู้ยืม เทียบสิทธิเรียกร้องชำระคืนหนี้ของบริษัทย่อยต่าง ๆ รายได้มาจากลูก 3 บริษัท

บริษัท ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี ของบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) ระดับ “BBB” ซึ่งจะใช้หลักประกันเป็นหุ้นของบริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) (อันดับเครดิต “BBB+/ลบ”) โดยบริษัทจะนำเงินไปชำระคืนหนี้และใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจ

ขณะเดียวกัน ทริสฯคงอันดับเครดิตองค์กรของ JMART ที่ระดับ “BBB+” และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันที่ระดับ “BBB” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงอยู่ที่ “ลบ”

อันดับเครดิตหุ้นกู้ อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กร สะท้อนความด้อยกว่าในเชิงโครงสร้างของภาระหนี้ของเงินกู้ยืมไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน เมื่อเทียบกับสิทธิเรียกร้องในการชำระคืนหนี้ของบริษัทย่อยต่าง ๆ ของบริษัท

อันดับเครดิตองค์กรยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจในระดับปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้ที่แข็งแกร่งจากบริษัทลูกรายใหญ่ 3 รายได้แก่ JMT ซึ่งเป็นบริษัทลูกหลักที่ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริษัท เจมาร์ท โมบาย (JMB) ซึ่งดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ด้านผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 1/2567 ต่ำกว่าที่ทริสคาดไว้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการจัดเก็บเงินสดจากลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่อ่อนตัวลงของ JMT ซึ่งเกิดจากความสามารถในการชำระหนี้ที่อ่อนแอลงของลูกหนี้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวช้า  ทำให้การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นทั้งใน JMT และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจเค (JK AMC) การจัดเก็บเงินสดอยู่ที่ 1.45 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แต่ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว กำไรสุทธิลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 423 ล้านบาท JMT ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นที่มูลค่าต้นทุน 192 ล้านบาท เทียบกับ 1.2 พันล้านบาทใน

ส่วน JMB ยังรักษาฐานธุรกิจและรายได้รวมไว้ได้แม้ว่าจะมีการชะลอตัวของยอดขายมือถือจากช่องทาง SINGER ซึ่งการเติบโตมาจากโครงการผ่อนชำระมือถือที่มีระบบระงับการใช้เครื่อง Samsung Finance Plus (SF+) รายได้ของ JMB เพิ่มขึ้นเป็น 2.26 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ากำไรสุทธิจะลดลงเหลือ 22 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 55 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/ 2566 ในอนาคต JMB มีแผนจะขยายโครงการผ่อนชำระมือถือที่มีระบบระงับการใช้เครื่องไปยังแบรนด์จากประเทศจีนด้วยการร่วมมือกับบริษัท เอสจี แคปปิตอล (SGC) (อันดับเครดิต “BB+/Stable”) น่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของ JMB ได้ในครึ่งหลังของปี 2567

ในไตรมาสแรกของปี 2567 กำไรสุทธิของ J-Asset ลดลงเหลือ 6 ล้านบาทจาก 23 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1/2566 เนื่องจากจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย โดยในปี 2567 มีแผนจะเปิดตัวศูนย์การค้าชุมชนใหม่อีก 3 แห่ง ซึ่งประกอบไปด้วย “JAS Green Village Prawet” “JAS Green Village Ram Khamheang” และ “JAS Green Village Khon Kean”

JMART มีสัดส่วนอัตราการก่อหนี้ ซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 3.64 เท่า ณ สิ้นไตรมาสที่1/2567 จาก 3.68 เท่า ณ สิ้นปี 2566 โดยอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผลดำเนินการที่ทริสเรทติ้งคาดว่าจะค่อนข้างใกล้เคียงหรืออ่อนแอกว่าไตรมาสที่ 1/ 2567

ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 บริษัทมีหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) อยู่ที่ 64.4% ซึ่งสูงกว่าระดับ 50% ตามที่กำหนดไว้ในการจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ของทริสเรทติ้ง ทำให้อันดับเครดิตหุ้นกู้อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรหนึ่งขั้น

แนวโน้มอันดับเครดิต”ลบ” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสฯว่าภาระหนี้สินของบริษัท ซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงและมีทิศทางที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตถูกปรับลดลง หากบริษัทมีผลดำเนินงานที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญและ/หรือบริษัทมีการลงทุนในเชิงรุกโดยการก่อหนี้ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน

แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับกลับมาเป็น “คงที่” ในกรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับเดียวกับปัจจุบันเอาไว้ได้